SET ยังเป็นสัญญาณลบ ยังไม่เกิดจุดกลับตัว และไหลลงต่อ โดยมีแนวรับถัดไปที่จุดต่ำเดิมบริเวณ 1462 จุด หากต่ำกว่าเป็นสัญญาณลบต่อ และมีแนวรับถัดไปที่ 1450 จุด ด้านการฟื้นตัวถูกจำกัดที่กรอบบนบริเวณแนวต้าน 1485 จุด และจุดติดตามบริเวณ 1505 จุด หากกลับมาขึ้นทะลุผ่านได้ เริ่มเป็นสัญญาณบวก
ประเด็นสำคัญ
• สภาคองเกรสผ่านร่าง กม. งบประมาณชั่วคราวและส่งให้ ปธน. โจ ไบเดน ลงนามได้ทันกำหนดเส้นตาย ซึ่งช่วยให้สหรัฐสามารถหลีกเลี่ยงการปิดหน่วยงานของรัฐบาลหรือชัตดาวน์
• ดัชนี Core PCE ของสหรัฐ ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่ Fed ให้ความสำคัญ เดือน ส.ค. เพิมขึ้น 3.9%YoY ต่ำสุดในรอบ 2 ปี และสอดคล้องตลาดคาด โดยลดลงจากระดับ 4.3%YoY ในเดือน ก.ค.
• สัญญาข้าวสาลีลดลงกว่า 6% ทำระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปี หลังจากสหรัฐรายงานตัวเลขคาดการณ์ผลผลิตสูงกว่าคาดการณ์
• United Auto Workers ขยายการประท้วงผู้ผลิตรถยนต์ในเมืองดีทรอยต์ โดยสั่งให้คนงานเพิ่มอีก 7,000 คนลาออกจากงานในรัฐอิลลินอยส์และมิชิแกน เพื่อกดดันบริษัทต่างๆ ให้ปรับปรุงข้อเสนอ
• ส.อ.ท. ประเมินขึ้น ดบ. ส่งผลต้นทุนการเงินเพิ่มขึ้น คาด ศก. ปีหน้าปัจจัยเสี่ยงสูง ระวังการลงทุนใหม่ ด้านผู้ประกอบการอสังหาฯ ระบุขึ้น ดบ. ฉุดกำลังซื้อ กระทบตลาด 2.5-3% แนะยกเลิก LTV ชั่วคราว
• ธพว. ระบุดัชนีเชื่อมั่น SMEs 3Q66 เพิ่มขึ้น หลังผู้ประกอบการปรับแผนการตลาดหนุนยอดขาย คาดนโยบายกระตุ้น ศก. ช่วยเสริม
• สถาบันยานยนต์ระบุ จีนเตรียมตั้งสำนักงานภูมิภาค พร้อมผลักดันไทยเป็นฮับพัฒนาอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า ขยายฐานตลาดอาเซียน คาดเม็ดเงินทุนจีนไหลเข้าไทยต่อเนื่อง
กลยุทธ์การลงทุน
แม้เดือน ก.ย. ตลาดหุ้นไทยจะไม่สามารถสวนกระแสตลาดหุ้นทั่วโลกได้ โดย SET Index ปรับตัวลงและปิดหลุด 1500 จุดเป็นครั้งที่ 3 ของปีนี้ แต่ถือว่าตลาดหุ้นไทยยัง Outperform เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในเอเชีย ขณะที่เดือน ต.ค. คาด SET จะเริ่มปรับตัวดีขึ้น จากคาดหวังมีความชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับนโยบายภาครัฐและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน อย่างไรก็ดี ภาพรวมเศรษฐกิจโลกที่ไม่สดใสและการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐและยุโรปที่ยังมีแนวโน้มชะลอตัว คาดจะยังกดดันบรรยากาศลงทุนในตลาดหุ้นไทยให้ฟื้นตัวช้าหรือปรับขึ้นได้ไม่แรงมากนัก กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ในธีมที่มีปัจจัยเฉพาะตัว
ล็อคเป้าลงทุน
Weekly Portfolio : มอง SET จะเริ่มดีขึ้น แต่ไม่ได้ปรับขึ้นแรง หลังภาพรวมเศรษฐกิจโลกที่ไม่สดใสยังกดดันบรรยากาศการลงทุน จึงแนะนำ “Selective Buy” ในธีมที่มีปัจจัยเฉพาะตัว ดังนี้
1) หุ้นเก็งกำไร โดยแนะนำทยอยซื้อสะสมสำหรับหุ้นที่ราคา Oversold และยังมีปัจจัยพื้นฐานดี อีกทั้ง Valuation ไม่แพง (PER และ PBV 23F ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี) คาดราคาหุ้นจะรีบาวด์ได้ดี หาก SET ฟื้นตัว เลือก CPALL TOP CPN BDMS MINT
2) หุ้นเก็งกำไรในธีมปิโตรดอลลาร์ โดยได้อานิสงส์จากกำลังซื้อของตลาดตะวันออกกลางดีขึ้นตามราคาน้ำมันที่ปรับขึ้น 10%QoQ ใน 3Q66 เลือก BH (ผู้ป่วยตะวันออกกลางเพิ่มขึ้น)
3) หุ้นเก็งกำไรจากราคาน้ำมันที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูง เลือก PTTEP BCP ทั้งนี้จะเริ่มเพิ่มความระมัดระวังการเก็งกำไรหาก Brent เกิน 100 เหรียญสหรัฐ
4) หุ้นซื้อลงทุน โดยคาดผลการดำเนินงาน 3Q66 จะมีเติบโตดี และยังมีโมเมนตัมที่ดีต่อเนื่องใน 4Q66 เลือก BCH HANA KCE AOT ERW KLINIQ
ขณะที่ระยะกลางแนะนำระมัดระวังหุ้นที่คาดได้รับผลกระทบจากปรากฎการณ์เอลนีโญที่จะกระทบต่อกำลังซื้อภาคเกษตรลดลง ได้แก่ กลุ่มพาณิชย์ (GLOBAL) กลุ่มสินเชื่อ (MTC SAWAD) กลุ่มยานยนต์ (SAT STANLY) กลุ่มเครื่องดื่ม (CBG มีต้นทุนน้ำตาลสูง) รวมถึงกลุ่มเกษตรและอาหาร (CPF GFPT)
DAILY FOCUS
KLINIQ หนึ่งในผู้นำคลินิกเวชกรรมด้านผิวหนังความงามของไทย ซึ่งมีศักยภาพเติบโตได้ต่อเนื่อง โดยปี 66-67 คาดกำไรโตเฉลี่ยปีละ 32% จากตลาด Wellness ที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ 3Q66 คาดสร้างสถิติทำกำไรสุทธินิวไฮ 74 ลบ. เติบโต 67%YoY และ 5%QoQ
KTB 3Q66 คาดกำไรจะเพิ่มขึ้น 22% YoY (NII สูงขึ้น) และ 2% QoQ (NII สูงขึ้น, ECL สูงขึ้น, opex สูงขึ้น) ขณะที่ทั้งปี 2566 คาดกำไรจะเติบโต 22%YoY อีกทั้งมองจะเป็นธนาคารที่มี NIM ขยายตัวมากที่สุดและมีความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์ต่ำกว่าธนาคารอื่นๆ
ข่าวเด่น