SET สัญญาณอ่อนแรง และยังไม่แสดงสัญญาณการกลับตัว โดยการฟื้นตัวยังถูกจำกัดบริเวณแนวต้าน 1480 และ 1495 จุด ตามลำดับ และมีความเสี่ยงหลุดจุดต่ำเดิมบริเวณ 1462 จุด ไปทำจุดต่ำใหม่ของปี โดยมีแนวรับถัดไปที่ 1450 จุด ทั้งนี้ ในภาพรวม มีจุดติดตามบริเวณ 1505 จุด หากกลับมาขึ้นทะลุผ่านได้ เริ่มเป็นสัญญาณบวก
ประเด็นสำคัญ
• เวิลด์แบงก์ ลดเป้า GDP ไทยปีนี้เหลือ 3.4% จาก 3.6% ปีหน้า 3.5% จาก 3.7% ส่งออกชะลอ ท่องเที่ยว-บริโภคเอกชนประคอง กังวลหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นกดดันการลงทุนภาคสาธารณะและเอกชน
• นายกฯ หารือผู้ว่า ธปท. ติดตามสภาพ ศก.ยืนยันไม่มีข้อขัดแย้ง จะหารือกันบ่อยขึ้น พร้อมมอบนโยบายจัดทำงบปี 2567 วงเงิน 3.48 ล้านลบ. ตั้งเป้า GDP โต 5% เดินหน้าเงินดิจิทัล 5.6 แสนลบ. คาดหวัง ศก. โตต่อเนื่อง
• ส.อ.ท. กังวลน้ำท่วมหลายพื้นที่สร้างความเสียหายพืชผลการเกษตร ทรัพย์สินบ้านเรือน รง. อุตสาหกรรม ภาคการท่องเที่ยว หากไม่ได้รับการแก้ไขจะกระทบค่าครองชีพ ปชช. สูงขึ้น
• ดัชนี PMI ภาคการผลิตสหรัฐ ก.ย. เพิ่มขึ้นจาก ส.ค. และสูงกว่าคาด เป็นการปรับตัวขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่ พ.ย. 2565
• ตลาดคาดอุปทานน้ำมันดิบสูงขึ้น หลังตุรกีเตรียมเปิดท่อส่งน้ำมันดิบจากอิรักในสัปดาห์นี้หลังถูกปิด 6 เดือน ขณะที่ Rapidan Group บ. ที่ปรึกษาด้านพลังงานระบุซาอุฯ จะเพิ่มกำลังผลิตน้ำมัน หลังราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับขึ้นมากกว่า 90 ดอลลาร์/บาร์เรล
• ดัชนี PMI ภาคการผลิตของยูโรโซน ก.ย. ลดลงจาก ส.ค.บ่งชี้ว่ากิจกรรมการผลิตของยูโรโซนยังคงอยู่ในช่วงขาลง
• Tesla ระบุยอดผลิตรถยนต์ 3Q66 อยู่ที่ 4.3 แสนคัน ต่ำกว่า 2Q66 ที่ 4.8 แสนคัน ยอดการส่งมอบรถยนต์ 3Q66 ที่ 4.4 แสนคัน ต่ำกว่า 2Q66 ที่ 4.7 แสนคัน จากการปิดปรับปรุงโรงงาน
กลยุทธ์การลงทุน
แม้เดือน ก.ย. ตลาดหุ้นไทยจะไม่สามารถสวนกระแสตลาดหุ้นทั่วโลกได้ โดย SET Index ปรับตัวลงและปิดหลุด 1500 จุดเป็นครั้งที่ 3 ของปีนี้ แต่ถือว่าตลาดหุ้นไทยยัง Outperform เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในเอเชีย ขณะที่เดือน ต.ค. คาด SET จะเริ่มปรับตัวดีขึ้น จากคาดหวังมีความชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับนโยบายภาครัฐและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน อย่างไรก็ดี ภาพรวมเศรษฐกิจโลกที่ไม่สดใสและการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐและยุโรปที่ยังมีแนวโน้มชะลอตัว คาดจะยังกดดันบรรยากาศลงทุนในตลาดหุ้นไทยให้ฟื้นตัวช้าหรือปรับขึ้นได้ไม่แรงมากนัก กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ในธีมที่มีปัจจัยเฉพาะตัว
ล็อคเป้าลงทุน
Weekly Portfolio : มอง SET จะเริ่มดีขึ้น แต่ไม่ได้ปรับขึ้นแรง หลังภาพรวมเศรษฐกิจโลกที่ไม่สดใสยังกดดันบรรยากาศการลงทุน จึงแนะนำ “Selective Buy” ในธีมที่มีปัจจัยเฉพาะตัว ดังนี้
1) หุ้นเก็งกำไร โดยแนะนำทยอยซื้อสะสมสำหรับหุ้นที่ราคา Oversold และยังมีปัจจัยพื้นฐานดี อีกทั้ง Valuation ไม่แพง (PER และ PBV 23F ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี) คาดราคาหุ้นจะรีบาวด์ได้ดี หาก SET ฟื้นตัว เลือก CPALL TOP CPN BDMS MINT
2) หุ้นเก็งกำไรในธีมปิโตรดอลลาร์ โดยได้อานิสงส์จากกำลังซื้อของตลาดตะวันออกกลางดีขึ้นตามราคาน้ำมันที่ปรับขึ้น 10%QoQ ใน 3Q66 เลือก BH (ผู้ป่วยตะวันออกกลางเพิ่มขึ้น)
3) หุ้นเก็งกำไรจากราคาน้ำมันที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูง เลือก PTTEP BCP ทั้งนี้จะเริ่มเพิ่มความระมัดระวังการเก็งกำไรหาก Brent เกิน 100 เหรียญสหรัฐ
4) หุ้นซื้อลงทุน โดยคาดผลการดำเนินงาน 3Q66 จะมีเติบโตดี และยังมีโมเมนตัมที่ดีต่อเนื่องใน 4Q66 เลือก BCH HANA KCE AOT ERW KLINIQ
ขณะที่ระยะกลางแนะนำระมัดระวังหุ้นที่คาดได้รับผลกระทบจากปรากฎการณ์เอลนีโญที่จะกระทบต่อกำลังซื้อภาคเกษตรลดลง ได้แก่ กลุ่มพาณิชย์ (GLOBAL) กลุ่มสินเชื่อ (MTC SAWAD) กลุ่มยานยนต์ (SAT STANLY) กลุ่มเครื่องดื่ม (CBG มีต้นทุนน้ำตาลสูง) รวมถึงกลุ่มเกษตรและอาหาร (CPF GFPT)
DAILY TOP PICKS
CPALL โมเมนตัมกำไรแข็งแกร่ง โดย 3Q66 คาดกำไรทรงตัว/เพิ่มขึ้น QoQ (สวนทางค่าเฉลี่ยกลุ่มที่ลดลง QoQ) และเติบโต YoY จากยอดขายและมาร์จิ้นที่โตต่อเนื่องในธุรกิจร้านสะดวกซื้อ อีกทั้งรับรู้ส่วนแบ่งกำไรที่ดีขึ้นจาก CPAXT จากดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลงหลังรีไฟแนนซ์เสร็จ
ERW มองภาพรวมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่เป็นบวกจะเปิดโอกาสให้ trading ระยะสั้น และปัจจุบันหุ้น ERW เทรดที่ EV/EBITDA ปี 2567 ระดับ 12 เท่า ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 13 เท่า ขณะที่ 3Q66 คาดกำไรจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทั้ง YoY และ QoQ
ข่าวเด่น