คาด SET แกว่งในกรอบระหว่าง 1430-1460 จุด โดยนักลงทุนในตลาด รอดูตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐในคืนนี้ เพื่อประเมินทิศทางดอกเบี้ยเฟด ทั้งนี้ แนวโน้มราคา มีจุดติดตามสำคัญบริเวณ 1470 จุด หากปิดเหนือได้ จะสร้างสัญญาณกลับตัว ส่วนกรณีต่ำกว่า 1430 จุด เป็นสัญญาณลบต่อ
ประเด็นสำคัญ
• รมว.คมนาคมเตรียมเสนอ ครม. 10 ต.ค.นี้ พิจารณาค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บ. ตลอดเส้นทาง มีผล 14 ต.ค. เร็วกว่าเป้าเดิม พ.ย.
• พาณิชย์ รายงานเงินเฟ้อทั่วไป ก.ย. +0.30%YoY ส่วน 4Q66 คาดลดลงต่อหรือติดลบจากมาตรการลดค่าไฟ ราคาดีเซล และราคาสินค้า โดยปรับลดเป้าเงินเฟ้อปีนี้เหลือโต 1.0-1.7% จาก 1.0-2.0%
• กกพ. ลดค่าไฟฟ้าเหลือ 3.99 บ./หน่วย ตามมติ ครม. มีผล ก.ย.66 โดยที่จ่ายค่าไฟฟ้าไปแล้วจะได้รับการหักส่วนลดรอบบิล ต.ค.
• ThaiBMA คาดปีนี้กระแสเงินไหลออกจากตลาดตราสารหนี้ไทยเกิน 1.5 แสนลบ. มากสุดรอบ 8 ปี โดยกระจุกตัวอยู่ในตราสารหนี้ระยะสั้น จากส่วนต่างของ ดบ. ไทย-สหรัฐที่เพิ่มสูงขึ้น
• นายกฯ ให้ ตลท. ศึกษาขยายเวลาซื้อขายหุ้นเพื่อเพิ่มมูลค่าซื้อขาย แต่ต้องทำประชาพิจารณ์ทุกภาคส่วนในตลาดทุนก่อน พร้อมเสนอ 4 แนวทางพัฒนาตลาดทุนไทย ดึงดูดกระแสเงินลงทุนไหลกลับ
• สหรัฐรายงานจำนวนผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกสัปดาห์ที่แล้วเพิ่มขึ้นน้อยกว่าคาด บ่งชี้ว่าตลาดแรงงานสหรัฐยังคงแข็งแกร่ง ทำให้ นลท. กลับมากังวล Fed ตรึง ดบ. ระดับสูงเป็นเวลานาน
• WTO ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวการค้าโลกปีนี้สู่ 0.8% จาก เดิม 1.7% หลังได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้น ดบ. ของธนาคารกลาง บั่นทอนกำลังซื้อของผู้บริโภคในสหรัฐ ยุโรป และเอเชีย
• สหภาพแรงงานออสเตรเลียขู่ที่จะกลับมานัดหยุดงานอีกครั้งในโครงการ LNG หลัก 2 โครงการของเชฟรอน หลังการเจรจาล้มเหลว ทำให้ราคาก๊าซ LNG มีความผันผวนเพิ่มขึ้นในระยะสั้น
กลยุทธ์การลงทุน
แม้เดือน ต.ค. คาด SET จะเริ่มปรับตัวดีขึ้น จากคาดหวังมีความชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับนโยบายภาครัฐและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน อย่างไรก็ดีช่วงสั้นภาพรวมเศรษฐกิจโลกที่ไม่สดใสและการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐและยุโรปที่ยังมีแนวโน้มชะลอตัว คาดจะยังกดดันบรรยากาศลงทุนในตลาดหุ้นไทยให้ฟื้นตัวช้าหรือปรับขึ้นได้ไม่แรงมากนัก กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ในธีมที่มีปัจจัยเฉพาะตัว
ล็อคเป้าลงทุน
Weekly Portfolio : สัปดาห์นี้มอง SET ปรับลงแรง ถูกกดดันจากการอ่อนตัวของราคาน้ำมันและภาพรวมเศรษฐกิจโลกที่ไม่สดใส โดยล่าสุด World Bank ปรับลดคาดการณ์ GDP growth ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (รวมทั้งไทย) ซึ่งกดดันบรรยากาศการลงทุนทำให้ SET Index ทำจุดต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2564 ดังนั้นจึงแนะนำ “Selective Buy” ในธีมที่มีปัจจัยเฉพาะตัว ดังนี้
1) หุ้นเก็งกำไร มองเป็นโอกาสซื้อสะสมหุ้นที่ราคา Oversold และยังมีปัจจัยพื้นฐานดี อีกทั้ง Valuation ไม่แพง (PER และ PBV 23F ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี) เนื่องจากคาดราคาหุ้นจะรีบาวด์ได้ดีหาก SET ฟื้นตัว เลือก CPALL TOP CPN BDMS MINT
2) หุ้นเก็งกำไรในธีมปิโตรดอลลาร์ จากกำลังซื้อตลาดตะวันออกกลางดีขึ้นตามราคาน้ำมันที่ปรับขึ้น 10%QoQ ใน 3Q66 เลือก BH (ผู้ป่วยตะวันออกกลางเพิ่มขึ้น)
3) หุ้นเก็งกำไรจากราคาน้ำมันที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูง เลือก PTTEP BCP ทั้งนี้จะเริ่มเพิ่มความระมัดระวังการเก็งกำไรหาก Brent เกิน 100 เหรียญสหรัฐ
4) หุ้นซื้อลงทุน โดยคาดผลการดำเนินงาน 3Q66 จะมีเติบโตดี และยังมีโมเมนตัมที่ดีต่อเนื่องใน 4Q66 เลือก BCH HANA KCE AOT ERW KLINIQ
ขณะที่ระยะกลางแนะนำระมัดระวังหุ้นที่คาดได้รับผลกระทบจากปรากฎการณ์เอลนีโญที่จะกระทบต่อกำลังซื้อภาคเกษตรลดลง ได้แก่ กลุ่มพาณิชย์ (GLOBAL) กลุ่มสินเชื่อ (MTC SAWAD) กลุ่มยานยนต์ (SAT STANLY) กลุ่มเครื่องดื่ม (CBG มีต้นทุนน้ำตาลสูง) รวมถึงกลุ่มเกษตรและอาหาร (CPF GFPT)
DAILY TOP PICKS
BBL คาดกำไรโตแข็งแกร่งสุดในกลุ่มเพราะ NIM จะขยายตัวมากที่สุด หลังได้ประโยชน์จากปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยล่าสุดขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ 25 bps ขณะที่ขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 20-25 bps และคงดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ ทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยมี Upside 8 bps
AOT ได้ประโยชน์จากเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจท่องเที่ยวไทย เนื่องจากนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นจะทำให้กำไรเพิ่มขึ้น (+YoY, +QoQ) ใน 4QFY66-1QFY67 ขณะที่ช่วงสั้นมองราคาหุ้นปรับลงสะท้อนปัจจัยลบแล้ว อีกทั้งหากเทียบ YTD ราคาหุ้นยังตามหลังหุ้นอื่นๆ ในกลุ่มท่องเที่ยว
ข่าวเด่น