เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
Scoop : ไทยเดินหน้าเป็นฐานผลิตรถยนต์สันดาปรายใหญ่ ยุคสุดท้ายของโลก


แม้ว่าในตอนนี้โลกกำลังเข้าสู่ช่วง “EV Revolution” หรือการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าแทนการใช้รถยนต์สันดาป เนื่องจากกระแสรักษ์โลกที่บ่มเพาะมาอย่างยาวนาน ทุกภาคส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล เอกชน รวมถึงคนส่วนใหญ่ทั่วโลกก็มีการตอบรับกับการกระทำที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากกว่าการเบียดเบียนและสร้างมลพิษให้กับโลกที่กำลังมีปัญหาอยู่ ณ ตอนนี้ ด้วยการเรียกร้อง และการมีส่วนร่วมในการรักษาสิ่งแวดล้อมเท่าที่จะสามารถทำได้ ซึ่ง 1 ในนี้ คือการหันมาใช้พลังงานสะอาด หรือการเบนเข็มจากรถสันดาปที่ต้องใช้พลังงานจากน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ เปลี่ยนมาเป็นการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือรถยนต์ EV แทน โดยเราก็ได้เห็นความนิยมของการใช้รถยนต์ EV มีทิศทางการเติบโตแซงหน้ารถยนต์สันดาปมากขึ้นตั้งแต่ช่วงปี 2018 เป็นต้นมาจนกระทั่งปัจจุบัน แต่อย่างไรก็ตาม รถยนต์สันดาปก็ยังเป็นที่ต้องการอยู่  และการ Revolution ไปเป็นรถยนต์ EV แบบ 100% ก็จำเป็นจะต้องใช้เวลาในอีกระยะหนึ่ง ทำให้ไทยเล็งเห็นถึงโอกาสตรงนี้ที่จะดึงดูดเงินลงทุนต่างชาติเข้ามาจากการที่ตั้งตนเองเป็นฐานการผลิตรถยนต์สันดาปรายใหญ่ในยุคสุดท้ายของรถยนต์ชนิดนี้

จริงอยู่ที่เราได้เห็นผลกระทบอย่างหนักหนาสาหัสของสภาวะเงินเฟ้อที่มีผลมาจากสงครามรัสเซีย-ยูเครนแล้วว่า ราคาสินค้าอุปโภคบริโภค โดยเฉพาะค่าน้ำมันรถนั้นแพงขึ้นมาก จากการคว่ำบาตรรัสเซีย จนมีปัญหาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติขาดแคลน ทำให้ใครหลายๆคนเริ่มเบนเข็มมาเลือกซื้อรถยนต์ EV กันเพิ่มมากขึ้น ซึ่งถ้าเราดูข้อมูลการ Adoption รถยนต์แบบพลังงานไฟฟ้า นับว่าน่าสนใจมากเลยทีเดียว เพราะแม้ตลาดรถยนต์ทั่วโลกจะเกิดการหดตัวในปี 2020 เนื่องมาจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่ข้อมูลจาก KKP Research โดยเกียรตินาคินภัทร ออกมาเผยว่า ตลาดรถยนต์แบบ EV นั้นมีทิศทางการเติบโตแบบก้าวกระโดด สวนทางกับยอดขายรถยนต์ที่ใช้น้ำมันหรือขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์สันดาปภายในที่ชะลอตัวลง โดยยอดขายรถยนต์ EV ทั่วโลก ทั้งแบบไฟฟ้า 100% และรถยนต์ที่ใช้พลังงานแบบปลั๊กอินไฮบริด ทะลุ 2 ล้านคัน เป็นครั้งแรกในปี 2018 เพิ่มขึ้นเป็น 2.3 ล้านคันในปี 2019 และยอดขายทะยานขึ้นเป็น 3.2 ล้านคันในปี 2020 คิดเป็นการขยายตัวถึง 43% สวนทางตลาดรถยนต์โดยรวมที่หดตัวเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน

อีกทั้งประเทศไทยนับเป็นประเทศที่ตลาดรถยนต์ EV เติบโตมากที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งทางรัฐบาลไทยก็มีการผลักดันและส่งเสริมรถยนต์ EV อย่างมาก แต่ในขณะเดียวกัน ไทยก็จะไม่ทิ้งการผลิตรถยนต์สันดาปด้วย เพราะจากทางด้านของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้กล่าวว่า ในรัฐบาลชุดนี้ก็ยังจะให้ความสำคัญกับการลงทุนผลิตรถยนต์สันดาป โดยตั้งเป้าว่าจะเป็นฐานผลิตแห่งสุดท้ายของโลก ซึ่งไทยจะได้ประโยชน์ในการดึงเงินลงทุนรถยนต์สันดาปเข้ามาประเทศไทย เหตุผลที่ต้องทำแบบนี้ เป็นเพราะเงินทุนจากญี่ปุ่นที่ลงทุนในไทย จัดว่าเป็นการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ หรือ FDI มากที่สุดประเทศหนึ่ง เงินลงทุนญี่ปุ่นมีส่วนผลักดันที่สำคัญมากต่อเศรษฐกิจของไทยมาอย่างยาวนาน ซึ่งมาในรูปแบบของการลงทุนการผลิตรถยนต์สันดาปจากค่ายรถยนต์ญี่ปุ่น อีกทั้ง Supply Chain ในการผลิตรถยนต์สันดาปในไทย และคนงานที่อยู่ในระบบอุตสาหกรรมยานยนต์เครื่องสันดาปมีอยู่เยอะมาก หากหยุดสนับสนุนอุตสาหกรรมนี้กะทันหันแล้วมุ่งแต่พัฒนารถยนต์ EV อย่างเดียวทันที คนงานที่เกี่ยวข้องในระบบอุตสาหกรรมยานยนต์เครื่องสันดาป ก็จะได้รับผลกระทบอย่างมาก และกระทบต่อกันเป็นทอดๆถึงระบบเศรษฐกิจไทยโดยรวม

ยิ่งไปกว่านั้น ในเชิงภูมิรัฐศาสตร์ หรือเรื่องของการเมือง ประเทศไทยจำเป็นต้องสร้างความสมดุลกับทุกชาติมหาอำนาจ หรือรักษาความเป็นกลางเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งที่อาจจะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า อันจะส่งผลเสียต่อประเทศไทย ซึ่งนอกจากสหรัฐและจีนแล้ว ประเทศญี่ปุ่นก็เป็นอีกหนึ่งมหาอำนาจที่มีความเกี่ยวโยงกับไทยในแง่ของการนำเงินลงทุนเข้ามายังประเทศมาอย่างยาวนานแล้ว จึงต้องรักษาความสัมพันธ์กับทุกฝ่ายอย่างเสมอภาค ทั้งจากสหรัฐ และ จีน ที่เป็นผู้ผลิตรถยนต์ EV รายใหญ่ และญี่ปุ่น ที่เป็นผู้ผลิตรถยนต์สันดาปรายใหญ่

โดยทางรัฐบาลจะมีการหารือกับทางสมาคมยานยนต์เพื่อที่จะผลักดันให้ไทยกลายเป็นฐานการผลิตยุคสุดท้ายของโลก ด้วยการให้สิทธิประโยชน์บางอย่างเพื่อเอื้อต่อการดึงดูดเงินลงทุนการผลิตรถยนต์สันดาปในไทยเพื่อส่งออกไปยังทั่วโลก พร้อมไปกับการสนับสนุนรถยนต์ EV ไปด้วย และมีการหารือกับทางสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ในช่วง 2 เดือนนี้ ก่อนทำ Roadshow ไปยังญี่ปุ่นเพื่อทำข้อตกลงในช่วงเดือน ธ.ค.ปีนี้ 
 

LastUpdate 08/10/2566 19:24:19 โดย : Admin
27-11-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 27, 2024, 8:05 pm