คาด SET ฟื้นตัว หลังเจ้าหน้าที่เฟดให้ความเห็นที่ผ่อนคลายลงเรื่องการปรับขึ้นดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม สัญญาณ SET โดยรวมยังไม่ดี และไม่แสดงสัญญาณกลับตัว ทำให้การฟื้นตัวยังถูกจำกัด โดยมีแนวต้านที่ 1440 และ 1450 จุด ตามลำดับ ด้านแนวรับอยู่ที่ 1422 จุด คาดว่ายังรองรับได้ เพื่อการฟื้นตัว
ประเด็นสำคัญ
• ปธ. Fed สาขาดัลลัส กล่าวในการประชุมที่จัดโดยสมาคม ศก. ธุรกิจแห่งชาติของสหรัฐวานนี้ว่า หาก Govt. Bond Yield สหรัฐยังอยู่ในระดับสูง Fed อาจจำเป็นน้อยลงในการปรับขึ้น ดบ.
• ก. พลังงานอิสราเอลสั่งให้ Chevron ปิดแหล่งก๊าซธรรมชาติทามาร์ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของฉนวนกาซาชั่วคราวเพื่อป้องกันถูกโจมตี ทำให้วานนี้ราคาก๊าซในยุโรปพุ่งขึ้นกว่า 10%DoD
• บ. เทคโนโลยีในอิสราเอลเพิ่มระดับการดูแลความปลอดภัย จากความเสี่ยงที่อาจเผชิญภาวะติดขัดหลังเหตุการณ์ความไม่สงบ โดยอิสราเอลมีการจ้างงานในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสูงถึง 14%
• ม.หอการค้าไทยกังวลสงครามอิสราเอล-ฮามาสหนุนราคาน้ำมันโลกเพิ่ม 4% มีน้ำมันสำรองใช้ 2 เดือน ด้าน ททท. ยืนยันไม่พบ นทท. อิสราเอลตกค้างในไทย
• สมาคมค้าปลีกไทยรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการค้าปลีก 3Q66 ลดลงมาที่ 46.4 จุด ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลางที่ระดับ 50 จุด ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 จากกำลังซื้อฐานรากที่อ่อนแอ แนะนำรัฐบาลออกมาตรการลดหย่อนภาษีประจำปี เพื่อหนุนกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น
• ผู้ประกอบการทัวร์จีนประเมินเหตุการณ์พารากอนกระทบ นทท. จีนระยะสั้น 2 เดือน โดยช่วงไฮซีซันคาด นทท. จีนลดลง 2 แสนคน สูญเสียรายได้ 1 หมื่นลบ. คาดสถานการณ์ปกติ ม.ค. 2567
กลยุทธ์การลงทุน
แม้สัปดาห์ก่อน SET จะปรับตัวลงแรงไปทำจุดต่ำสุดที่ 1,429.99 จุด ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดในรอบ 2 ปี 9 เดือน นับตั้งแต่ 4 ม.ค 64 หลังมีแรงกดดันทั้งจากกังวลเฟดคงดอกเบี้ยสูงยาวนาน (Higher for longer) อีกทั้งภาพรวมภาวะเศรษฐกิจโลกรวมทั้งไทย มีแนวโน้มชะลอตัวลง แต่อย่างไรก็ดี ช่วงสั้นคาด SET มีโอกาสจะเริ่มฟื้นตัวหรือรีบาวด์ได้บ้าง หลังปรับตัวลงแรงสะท้อนความเสี่ยงไปในระดับหนึ่งแล้ว กลยุทธ์ลงทุนจึงมองเป็น “โอกาสซื้อลงทุน” ในธีมที่มีปัจจัยเฉพาะตัว
ล็อคเป้าลงทุน
Weekly Portfolio : สัปดาห์นี้มอง SET มีโอกาสจะเริ่มฟื้นตัวหรือรีบาวด์ได้บ้าง หลังปรับตัวลงแรงสะท้อนความเสี่ยงไปในระดับหนึ่งแล้ว จึงมองเป็น “โอกาสซื้อลงทุน” ในธีมที่มีปัจจัยเฉพาะตัว ดังนี้
1) หุ้น Undervalued (ราคาตลาดต่ำกว่ามูลค่าหุ้นที่แท้จริง) ซึ่งราคาปรับลงมาจนเข้าเขต Oversold และยังมีพื้นฐานดี อีกทั้ง Valuation ไม่แพง (PER และ PBV 23F ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี) เลือก CPALL TOP CPN BDMS MINT
2) หุ้นที่มี Earning Growth แข็งแรง (กำไรมีโมเมนตัมดีต่อเนื่อง) และตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันราคาหุ้นสามารถชนะตลาดได้ เลือก BCP AMATA BBL KTB BCH KLINIQ
3) หุ้นเก็งกำไรหากราคาน้ำมัน Brent ปรับตัวเข้าใกล้ 80 เหรียญสหรัฐ เลือก PTTEP
ขณะที่ระยะกลางแนะนำระมัดระวังหุ้นที่คาดได้รับผลกระทบจากปรากฎการณ์เอลนีโญที่จะกระทบต่อกำลังซื้อภาคเกษตรลดลง ได้แก่ กลุ่มพาณิชย์ (GLOBAL) กลุ่มสินเชื่อ (MTC SAWAD) กลุ่มยานยนต์ (SAT STANLY) กลุ่มเครื่องดื่ม (CBG มีต้นทุนน้ำตาลสูง) รวมถึงกลุ่มเกษตรและอาหาร (CPF GFPT)
DAILY TOP PICKS
BCP 3Q66 คาดกำไรเติบโต YoY และ QoQ แรงหนุนจากค่าการกลั่นที่เพิ่มขึ้นและกำไรสินค้าคงคลัง ขณะที่ valuation ยังไม่แพง โดยมี PER 66F ระดับ 5.3 เท่า และ PBV 0.7 เท่า (-1SD) อีกทั้งคาด Div. Yield ปี 66 น่าสนใจในระดับ 5.7% และจะเพิ่มขึ้นสู่ 8% ในปี 67
BBL คาดกำไรโตแข็งแกร่งสุดในกลุ่มเพราะ NIM จะขยายตัวมากที่สุด หลังได้ประโยชน์จากปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยล่าสุดขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ 25 bps ขณะที่ขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 20-25 bps และคงดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ ทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยมี Upside 8 bps
ข่าวเด่น