แบงก์-นอนแบงก์
ธนาคารยูโอบี กำไรสุทธิ ไตรมาสสามปี 2566 เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า อยู่ที่ 1.5 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ดอลลาร์ แฟรนไชส์ลูกค้าหลักส่งผลให้รายได้จากค่าธรรมเนียมและดอกเบี้ยเติบโตขึ้น


 
กลุ่มธนาคารยูโอบีประกาศผลกำไรสุทธิไตรมาสสามปี 2566 ที่ 1.5 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ดอลลาร์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับปีก่อน ผลประกอบการที่ยืดหยุ่นนี้ได้รับแรงขับเคลื่อนจากรายได้ที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งจากรายได้จากค่าธรรมเนียมสุทธิและดอกเบี้ยสุทธิที่เพิ่มสูงขึ้น

ผลประกอบการของกลุ่มธนาคารยูโอบีในไตรมาสสามปี 2566 ได้รับแรงสนับสนุนจากปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตที่กระจายตัวทั้งในธุรกิจ ขนาดใหญ่และลูกค้ารายย่อย รายได้จากค่าธรรมเนียมสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 14 เมื่อเทียบกับปีก่อน อยู่ที่ 591 ล้านเหรียญสิงคโปร์ดอลลาร์ เนื่องจากค่าธรรมเนียมบัตรเครดิต ค่าธรรมเนียมการบริหารจัดการความมั่งคั่ง รวมถึงค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวกับสินเชื่อที่ปรับตัวสูงขึ้น ค่าธรรมเนียมบัตรเดรดิตเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว ทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 104 ล้านเหรียญสิงคโปร์ดอลลาร์ จากการที่ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคยังคงปรับตัวอย่างต่อเนื่อง

ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิขยายตัว 14 จุด ส่งผลให้รายได้จากดอกเบี้ยสุทธิปรับตัวดีขึ้นร้อยละ 9 เมื่อเทียบกับปีก่อน รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นร้อยละ 1 เมื่อเทียบกับปีก่อน ในขณะที่รายได้จากการบริหารตลาดเงินที่เกี่ยวกับลูกค้าที่เพิ่มขึ้นถูกปรับลดลงจากตีราคาเงินลงทุนที่ปรับตัวลดลงจากความผันผวนของตลาด

หากเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิลดลงเนื่องจากธนาคารแปลงสภาพคล่องส่วนเกินเป็นสินทรัพย์คุณภาพสูงแต่ได้รับผลตอบแทนที่ต่ำลง รายได้จากการบริหารตลาดเงินที่เกี่ยวกับลูกค้าปรับตัวดีขึ้นร้อยละ 9 เมื่อเทียบกันไตรมาสก่อน

ต้นทุนความเสี่ยงจากการปล่อยสินเชื่อในไตรมาสสามปี 2566 ปรับตัวดีขึ้น 11 จุด เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน อยู่ที่ 19 จุด อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) คงที่ที่ร้อยละ 1.6 งบดุลของกลุ่มธนาคารยูโอบียังคงแข็งแกร่ง มีสภาพคล่องดี และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่หนึ่งที่เป็นส่วนของเจ้าของที่ร้อยละ 13.0

 
ผลประกอบการที่แข็งแกร่งซึ่งได้รับแรงสนับสนุนจากพอร์ตโฟลิโอที่ยืดหยุ่น

“เศรษฐกิจโลกยังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ในระยะนี้ก็ยิ่งเพิ่มความผันผวนให้ตลาด ยูโอบีมีพอร์ตโฟลิโอที่ยืดหยุ่น จึงช่วยให้เราข้ามผ่านวัฏจักรต่างๆ ของตลาดได้ ธุรกิจหลักของเรามีผลประกอบการที่ดี เนื่องจากรายได้จากดอกเบี้ยรับสุทธิเพิ่มสูงขึ้น และค่าธรรมเนียมบัตรเครดิตที่สูงเป็นประวัติการณ์

การรวมกิจการลูกค้ารายย่อยจากซิตี้กรุ๊ปยังคงดำเนินไปตามแผน การรวมกิจการในอินโดนีเซีย ไทย และเวียดนามเดินหน้าตามแผนที่กำหนดไว้ หลังจากที่เราประสบความสำเร็จในการถ่ายโอนลูกค้าของซิตี้กรุ๊ปทั้งหมดในมาเลเซียสู่แพลตฟอร์มของธนาคาร

สภาพแวดล้อมในระดับเศรษฐกิจมหภาคยังคงไม่ราบรื่น เต็มไปด้วยอุปสรรค อย่างไรก็ตาม เราคาดหวังว่าภูมิภาคอาเซียนจะยังคงสามารถฟิ้นตัวได้ ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคยังคงแข็งแกร่งและการไหลเวียนของเงินลงทุนสู่ภูมิภาคนี้ที่เพิ่มขึ้นจะช่วยกระตุ้นการเติบโตได้

ในส่วนของยูโอบี  งบดุลของธนาคารที่ยังคงแข็งแกร่งซึ่งได้รับแรงสนับสนุนจากปัจจัยขับเคลื่อนรายได้ที่กระจายตัวจะช่วยให้อนาคตของเราราบรื่น และเราพร้อมสนับสนุนลูกค้าทุกคนในช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้”

 
9 เดือนแรกปี 2566 เปรียบเทียบกับ 9 เดือนแรกปี 2565
 
กำไรหลักสุทธิโตขึ้นร้อยละ 33 อยู่ที่ 4.6 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ดอลลาร์จากปีก่อน เนื่องจากรายได้จากดอกเบี้ยรับสุทธิและรายได้จากการค้าและการลงทุนที่แข็งแกร่ง หากนับรวมค่าใช้จ่ายครั้งเดียวในการควบรวมกิจการซิตี้กรุ๊ป กำไรสุทธิจะอยู่ที่ 4.3 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ดอลลาร์

รายได้จากดอกเบี้ยรับสุทธิดีดตัวสูงขึ้นร้อยละ 26 จากปีก่อน อยู่ที่ 7.3 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ดอลลาร์ จากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่แข็งแกร่ง ซึ่งขยายตัว 38 จุด อยู่ที่ร้อยละ 2.12 จากอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้น รายได้จากค่าธรรมเนียมสุทธิอยู่ที่ 1.7 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ดอลลาร์ ค่าธรรมเนียมบัตรเครดิตปรับตัวสูงขึ้นร้อยละ 64 ทำสถิติใหม่ที่ 257 ล้านเหรียญสิงคโปร์ดอลลาร์ จากการที่แฟรนไชส์ลูกค้าระดับภูมิภาคขยายตัวเพิ่มขึ้น แต่ปรับลดลงจากการที่นักลงทุนยังคงระมัดระวัง ส่งผลให้ค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวกับสินเชื่อและการบริหารจัดการความมั่งคั่งลดลง

รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเท่าตัวอยู่ที่ 1.6 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ดอลลาร์ เนื่องจากรายได้จากการบริหารตลาดเงินที่สูงเป็นประวัติการณ์และผลประกอบการดีจากกิจกรรมการค้าและการบริหารจัดการสภาพคล่อง ค่าใช้จ่ายหลักรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 อยู่ที่ 4.3 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ดอลลาร์ เพื่อใช้สนับสนุนโครงการริเริ่มเชิงยุทธศาสตร์ แต่เนื่องจากรายได้เติบโตขึ้นสูงกว่า จึงส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญที่ 2.7 จุด อยู่ที่ร้อยละ 40.9

เงินกันสำรองรวมปรับเพิ่มขึ้นจากปีก่อน เนื่องจากเงินกันสำรองแบบเฉพาะรายเพิ่มสูงขึ้นจากบัญชีลูกค้าบริษัทธุรกิจขนาดใหญ่ที่ไม่เป็นระบบบางราย รวมถึงมีการกันเงินสำรองทั่วไปเชิงรุก

ไตรมาส 3 ปี 2566 เปรียบเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2566

ผลกำไรหลักสุทธิในไตรมาสสามปี 2566 ปรับลดลงร้อยละ 2 อยู่ที่ 1.5 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ดอลลาร์ หากนับรวมค่าใช้จ่ายครั้งเดียวในการควบรวมกิจการซิตี้กรุ๊ป กำไรสุทธิจะอยู่ที่ 1.4 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ดอลลาร์

รายได้จากดอกเบี้ยรับสุทธิคงที่ที่ 2.4 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ดอลลาร์ ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิปรับลดลงเล็กน้อยร้อยละ 2.09 เนื่องจากธนาคารแปลงสภาพคล่องส่วนเกินเป็นสินทรัพย์คุณภาพสูงแต่ได้รับผลตอบแทนต่ำลง ในขณะที่ส่วนต่างอัตราเงินให้สินเชื่อและเงินฝากเพิ่มสูงขึ้นอยู่ที่ร้อยละ 2.64 รายได้จากค่าธรรมเนียมสุทธิสำหรับไตรมาสนี้เกือบทำสถิติสูงสุดใหม่ ขับเคลื่อนโดยค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวกับสินเชื่อที่แข็งแกร่งและค่าธรรมเนียมบัตรเครดิตที่สูงเป็นประวัติการณ์ รายได้จากการบริหารตลาดเงินที่เกี่ยวกับลูกค้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 9 ส่งผลให้เกิดโมเมนตัมที่ดี ผลประกอบการนี้ถูกปรับลดลงจากตีราคามูลค่าการลงทุนที่ปรับตัวลดลงจากความผันผวนของตลาด

อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้หลักของไตรมาสสามปี 2566 คงที่ที่ร้อยละ 41.0 เงินกันสำรองสำหรับสินเชื่อรวมปรับตัวลดลง 19 จุดสำหรับไตรมาสนี้ จากการลดยอดเงินกันสำรองทั่วไปเชิงรุกเพื่อชดเชยเงินกันสำรองแบบเฉพาะรายที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น

ไตรมาส 3 ปี 2566 เปรียบเทียบกับไตรมาส 3 ปี 2565

รายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 9 โดยได้รับแรงสนับสนุนจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิที่เพิ่มขึ้น 14 จุด รายได้จากค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นร้อยละ 14 ส่วนใหญ่เนื่องมาจากค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวกับสินเชื่อ บัตรเครดิต และการบริหารจัดการความมั่งคั่ง การเติบโตของรายได้ที่แข็งแกร่งและการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายอย่างมีวินัยส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้หลักปรับตัวดีขึ้นจากร้อยละ 42.6 เป็นร้อยละ 41.0 เงินกันสำรองรวมสำหรับสินเชื่อเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 19 จุด เนื่องจากเงินกันสำรองแบบเฉพาะรายที่เพิ่มสูงขึ้น และบางส่วนถูกชดเชยด้วยลดลงของเงินกันสำรองทั่วไป

คุณภาพของสินทรัพย์
อัตราส่วนการตั้งเงินกันสำรอง
 
 
คุณภาพของสินทรัพย์คงที่ โดยมีอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ไม่เปลี่ยนแปลงที่ร้อยละ 1.6 

ธนาคารรักษาระดับเงินกันสำรองทั่วไปต่อเงินให้สินเชื่อ โดยมีเงินกันสำรองรวมสำหรับสินเชื่อคุณภาพดีอยู่ที่ร้อยละ 0.9

อัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ปรับตัวขึ้นที่ร้อยละ 102 หรือร้อยละ 205 หากนับรวมหลักประกัน

เงินทุน ฐานะเงินทุน และสภาพคล่อง
อัตราส่วนสภาพคล่องและเงินทุน

 
 
เงินทุน ฐานะเงินทุน และสภาพคล่องของกลุ่มธนาคารยูโอบียังคงอยู่ในระดับดีในไตรมาสนี้ 

อัตราส่วนการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องในทุกสกุลเงินเฉลี่ย (LCR) และอัตราส่วนการดำรงแหล่งที่มาของเงินให้สอดคล้องกับการใช้ไปของเงิน (NSFR) อยู่ที่ร้อยละ 153 และร้อยละ 121 ตามลำดับ

อัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่หนึ่งที่เป็นส่วนของเจ้าของ (CET1) ปรับลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 13.0 จุดจากการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลปี 2566 แต่ยังสูงกว่าเกณฑ์กำหนดขั้นต่ำ
 
ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกลุ่มธนาคารยูโอบีได้ที่ www.UOBGroup.com

 

LastUpdate 30/10/2566 16:52:00 โดย : Admin
26-12-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ December 26, 2024, 10:33 am