คาด SET ชะลอตัว ลดความร้อนแรงในระยะสั้น รวมถึง bond yield สหรัฐ ที่กลับมาปรับตัวขึ้น สร้าง sentiment ลบ นอกจากนี้ นักลงทุนรอติดตามถ้อยแถลงประธานเฟดในคืนวันพฤหัสฯ นี้ ทำให้กรอบบนในระยะสั้นถูกจำกัดที่แนวต้าน 1424 และ 1430 จุด ส่วนแนวรับอยู่ที่ 1407 และ 1400 จุด ตามลำดับ ใช้เป็นจุดรองรับ ตามภาพรวมที่ยังมีสัญญาณที่ดี คาดหวังการฟื้นตัวได้ต่อ
ประเด็นสำคัญ
• ติดตาม 10 พ.ย. นายกฯ เตรียมชี้แจงความคืบหน้าโครงการดิจิทัลวอลเล็ตทั้งหมด
• พาณิชย์ รายงานตัวเลขเงินเฟ้อทั่วไปลดลง 0.31% ลดลงครั้งแรกในรอบ 25 เดือน จากการลดลงของราคาพลังงาน รวมทั้งสินค้าอุปโภค-บริโภคตามมาตรการลดค่าครองชีพของภาครัฐ
• ก.ล.ต.-ตลท. ออกมาตรการให้หุ้น IPO เปิดข้อมูลผู้ถือหุ้นใหญ่-งบการเงินเร็วขึ้น เพื่อใช้ตัดสินใจลงทุน ป้องกัน นลท. รายย่อยถูกเอาเปรียบ ส่วนจะปรับเกณฑ์หรือไม่ต้องใช้เวลาพิจารณา
• FETCO เตรียมเข้าพบ รมว.คลังสัปดาห์หน้า หารือตั้งกองทุนออมหุ้นระยะยาว ด้านนายกสมาคมโบรกฯ ระบุช่วยหนุนคนไทยออมเงิน-ช่วยรัฐลดค่าใช้จ่ายดูแลสูงวัย ส่วนนายกสมาคมนักวิเคราะห์คาดหวังลดความผันผวน-ตลาดทุนไทยมีเสถียรภาพ
• Fed ระบุผลสำรวจพบว่าธนาคารในสหรัฐมีการปล่อยกู้ที่ตึงตัวมากขึ้น ขณะที่ความต้องการกู้ในทุกหมวดอุตสาหกรรมลดลง
• ดัชนี PMI รวมภาคการผลิตและบริการขั้นสุดท้ายของยูโรโซน ต.ค. ลดลงต่ำที่สุดนับตั้งแต่ พ.ย. 2563 บ่งชี้ว่า มีโอกาสมากขึ้นที่จะเกิดภาวะถดถอยในยูโรโซน
• Tesla เตรียมผลิตรถยนต์ราคา 25,000 ยูโร (ราว 9.55 แสนบ.) ถือเป็นรถ EV ราคาถูกที่สุดเท่าที่ Tesla เคยผลิตมา จากปัจจุบันคือรุ่น Model 3 ราคาเริ่มต้นที่ 38,990 ดอลลาร์ (ราว 1.39 ลบ.)
กลยุทธ์การลงทุน
แม้ SET มีโอกาสฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง หลังมีความหวังเฟดอาจใกล้ยุติวงจรปรับขึ้นดอกเบี้ย แต่อย่างไรก็ดี คาด Upside จะยังถูกจำกัด เนื่องจากยังขาดปัจจัยบวกใหม่เพิ่มเติมที่จะเข้ามาช่วยกระตุ้นบรรยากาศลงทุน อีกทั้งมีประเด็นเสี่ยงที่ต้องติดตามจากสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง และปัจจัยในประเทศกำลังเข้าสู่ช่วงติดตามการประกาศผลการดำเนินงาน 3Q66 ของหุ้นกลุ่ม Real Sector กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy”
ล็อคเป้าลงทุน
Weekly Portfolio : แม้ SET มีโอกาสฟื้นตัวต่อได้ แต่ Upside ยังถูกจำกัด เนื่องจากยังขาดปัจจัยหนุนใหม่ รวมทั้งรอติดตามสถานการณ์ตะวันออกกลาง และประกาศงบ 3Q66 ของกลุ่ม Real Sector กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ในธีมที่มีปัจจัยเฉพาะตัว ดังนี้
1) หุ้น Big Cap. ที่คาดฟื้นตัวตามตลาด โดยเลือกหุ้น Undervalued ซึ่งราคาปรับลงมาจนเข้าเขต Oversold และยังมีพื้นฐานดี อีกทั้ง Valuation ไม่แพง (PER และ PBV 23F ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี) เลือก BDMS CPALL CPN MINT
2) หุ้นที่คาดผลประกอบการดีต่อเนื่องไปใน 4Q66 (+YoY, +QoQ) เลือก AP AOT BCH CENTEL รวมทั้ง KCE ที่ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว (+QoQ)
3) หุ้นเก็งกำไร ซึ่งคาดได้อานิสงส์จากราคาน้ำมันปรับขึ้นหรือทรงตัวในระดับสูง หากความตึงเครียดในตะวันออกกลางไม่ทวีความรุนแรงมากขึ้น (Upside ราคาน้ำมัน 5-10 เหรียญสหรัฐฯ) แนะนำเทรดดิ้งราคาน้ำมัน Brent ในกรอบ 84-94 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เลือก BCP PTTEP
ขณะที่ระยะกลางแนะนำระมัดระวังหุ้นที่คาดได้รับผลกระทบจากปรากฎการณ์เอลนีโญที่จะกระทบต่อกำลังซื้อภาคเกษตรลดลง ได้แก่ กลุ่มสินเชื่อ (MTC SAWAD) กลุ่มยานยนต์ (SAT STANLY) กลุ่มเครื่องดื่ม (CBG จากราคาน้ำตาลที่สูงขึ้น) รวมถึงกลุ่มเกษตรและอาหาร (CPF GFPT BTG)
DAILY TOP PICKS
BEM กำไรจะยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดย 3Q66 คาดมีกำไรสุทธิ 956 ลบ. เพิ่มขึ้น 6.2%QoQ และ 10.8%YoY ได้แรงหนุนจากปริมาณรถที่ใช้ทางด่วนและจำนวนผู้โดยสาร MRT ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่ทั้งปี 2566 คาดกำไรเติบโตเด่น 60.6%YoY
BCP 3Q66 คาดมีกำไร 4.6 พันลบ. เติบโต 86%YoY และ 902%QoQ แรงหนุนจากค่าการกลั่นที่เพิ่มขึ้นและกำไรสินค้าคงคลัง ขณะที่ valuation ยังไม่แพง โดยมี PER 66F ระดับ 5.3 เท่า และ PBV 0.8 เท่า (-1SD) อีกทั้งคาด Div. Yield ปี 66 น่าสนใจในระดับ 5.5%
ข่าวเด่น