คาด SET ยังพักตัวได้อยู่ หลังฟื้นตัวแรงก่อนหน้าและนักลงทุนรอติดตามถ้อยแถลงประธานเฟดในคืนวันพฤหัสฯ นี้ เพื่อหาสัญญาณแนวโน้มดอกเบี้ยทำให้กรอบบนในระยะสั้นถูกจำกัดที่แนวต้าน 1420-1425 จุด ส่วนแนวรับอยู่ที่ 1400 และ 1390 จุด ตามลำดับ ใช้จุดคาดมีโอกาสฟื้นตัวกลับขึ้นอีกครั้ง
ประเด็นสำคัญ
• จนท. Fed หลายรายแสดงความเห็นในเชิงสนับสนุนขึ้น ดบ. โดยนีล แคชแครี ปธ. Fed สาขามินนีแอโพลิส ระบุ Fed ต้องพยายามมากขึ้นเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ และยังเร็วเกินไปที่ Fed จะประกาศชัยชนะในการต่อสู้กับเงินเฟ้อ ขณะที่คริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ และมิเชล โบว์แมน สมาชิกคณะผู้ว่าการ Fed ระบุ ศก. สหรัฐ 3Q66 แข็งแกร่ง อาจทำให้ Fed พิจารณาปรับขึ้น ดบ.
• ตัวเลขขาดดุลการค้าในภาคสินค้าและบริการของสหรัฐ ก.ย. เพิ่มขึ้น 4.9% สู่ระดับ 6.15 หมื่นล้านเหรียญ สูงกว่าคาดที่ 5.99 หมื่นล้านเหรียญ
• จีนรายงานยอดส่งออก ต.ค. ลดลง 6.4% แย่กว่าคาดว่าจะลดลง 3.3% เป็นการลดลงเดือนที่ 6 ผลจากอุปสงค์สินค้า-บริการที่อ่อนแอในตลาดโลก นอกจากนี้ยังคาดว่าโรงกลั่นน้ำมันของจีนจะลดปริมาณการกลั่นน้ำมันดิบช่วง พ.ย.-ธ.ค. ซึ่งจะเป็นปัจจัยจำกัดอุปสงค์น้ำมันในประเทศ
• ธนาคารกลางออสเตรเลียปรับขึ้น ดบ. 0.25% สู่ระดับ 4.35% สูงสุดในรอบ 12 ปี หลังจากคง ดบ. ติดต่อกัน 4 เดือน แต่ไม่ได้ส่งสัญญาณว่าจะปรับขึ้น ดบ. อีกหรือไม่เพื่อฉุดเงินเฟ้อลงสู่เป้าหมาย
• ครม.เห็นชอบแบ่งจ่ายเงินเดือนข้าราชการ เป็น 2 รอบ ตามความสมัครใจ โดยเปิดให้ข้าราชการลงทะเบียนแสดงความประสงค์ 1-15 ธ.ค. นี้ ด้านกรมบัญชีกลางขานรับมติ ครม. พร้อมปฏิบัติทันที
กลยุทธ์การลงทุน
แม้ SET มีโอกาสฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง หลังมีความหวังเฟดอาจใกล้ยุติวงจรปรับขึ้นดอกเบี้ย แต่อย่างไรก็ดี คาด Upside จะยังถูกจำกัด เนื่องจากยังขาดปัจจัยบวกใหม่เพิ่มเติมที่จะเข้ามาช่วยกระตุ้นบรรยากาศลงทุน อีกทั้งมีประเด็นเสี่ยงที่ต้องติดตามจากสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง และปัจจัยในประเทศกำลังเข้าสู่ช่วงติดตามการประกาศผลการดำเนินงาน 3Q66 ของหุ้นกลุ่ม Real Sector กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy”
ล็อคเป้าลงทุน
Weekly Portfolio : แม้ SET มีโอกาสฟื้นตัวต่อได้ แต่ Upside ยังถูกจำกัด เนื่องจากยังขาดปัจจัยหนุนใหม่ รวมทั้งรอติดตามสถานการณ์ตะวันออกกลาง และประกาศงบ 3Q66 ของกลุ่ม Real Sector กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ในธีมที่มีปัจจัยเฉพาะตัว ดังนี้
1) หุ้น Big Cap. ที่คาดฟื้นตัวตามตลาด โดยเลือกหุ้น Undervalued ซึ่งราคาปรับลงมาจนเข้าเขต Oversold และยังมีพื้นฐานดี อีกทั้ง Valuation ไม่แพง (PER และ PBV 23F ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี) เลือก BDMS CPALL CPN MINT
2) หุ้นที่คาดผลประกอบการดีต่อเนื่องไปใน 4Q66 (+YoY, +QoQ) เลือก AP AOT BCH CENTEL รวมทั้ง KCE ที่ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว (+QoQ)
3) หุ้นเก็งกำไร ซึ่งคาดได้อานิสงส์จากราคาน้ำมันปรับขึ้นหรือทรงตัวในระดับสูง หากความตึงเครียดในตะวันออกกลางไม่ทวีความรุนแรงมากขึ้น (Upside ราคาน้ำมัน 5-10 เหรียญสหรัฐฯ) แนะนำเทรดดิ้งราคาน้ำมัน Brent ในกรอบ 84-94 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เลือก BCP PTTEP
ขณะที่ระยะกลางแนะนำระมัดระวังหุ้นที่คาดได้รับผลกระทบจากปรากฎการณ์เอลนีโญที่จะกระทบต่อกำลังซื้อภาคเกษตรลดลง ได้แก่ กลุ่มสินเชื่อ (MTC SAWAD) กลุ่มยานยนต์ (SAT STANLY) กลุ่มเครื่องดื่ม (CBG จากราคาน้ำตาลที่สูงขึ้น) รวมถึงกลุ่มเกษตรและอาหาร (CPF GFPT BTG)
DAILY TOP PICKS
KCE 3Q66 มีกำไรสุทธิ 520 ลบ. เพิ่มขึ้น 58.1% QoQ (มากกว่าตลาดคาด 13%) หลังความต้องการสินค้าเริ่มดีขึ้น ขณะที่ 4Q66 คาดฟื้นตัวต่อเนื่อง จากสต็อกของลูกค้าที่ยังค่อนข้างต่ำทำให้มีคำสั่งซื้อมาต่อเนื่อง ขณะที่ต้นทุนราคาทองแดงยังอยู่ในระดับต่ำ อีกทั้งค่าไฟฟ้าคาดจะลดลง
AP 3Q66 มีกำไรสุทธิ 1.69 พันลบ. เพิ่มขึ้น 19.6%YoY และ 9.8%QoQ เป็นไปตามที่เราคาด แรงหนุนจากรายได้และส่วนแบ่งกำไรจาก JV ที่แข็งแกร่ง ขณะที่ 4Q66 คาดกำไรสุทธิยังเติบโต YoY และหนุนให้ปี 2566 มีกำไรสุทธิ 6.2 พันลบ. (+6% YoY) ซึ่งเป็นระดับที่ทำจุดสูงสุดใหม่
ข่าวเด่น