คาด SET ได้รับ sentiment ลบ หลังถ้อยแถลงประธานเฟดบ่งชี้ยังจำเป็นต้องคงดอกเบี้ยระดับสูงไว้ต่อ และตลาดรอประเด็นเงินดิจิทัล ซึ่งนายกฯ จะแถลงวันนี้เวลา 14.00 น. ด้านแนวโน้มราคา ติดตามกรอบล่างบริเวณ 1390 จุด หากต่ำกว่าเป็นลบต่อ และมีแนวรับถัดไปที่ 1380 จุด ส่วนกรอบบนมีที่ 1410 จุด หากขึ้นทะลุผ่าน กลับมาเป็นบวก โดยมีแนวต้านถัดไปที่ 1420 จุด
ประเด็นสำคัญ
• ปธ. Fed กล่าวในงานเสวนาจัดโดย IMF ว่า Fed ยังไม่มั่นใจว่า ดบ. อยู่ในระดับสูงมากพอที่จะควบคุมเงินเฟ้อได้หรือไม่ ส่งผลให้ Bond Yield 10 ปีสหรัฐเพิ่มขึ้น 13 bps
• จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกสัปดาห์ที่แล้วของสหรัฐลดลงสู่ 2.17 แสนราย ต่ำกว่าคาดที่ 2.18 แสนราย
• จีนรายงานดัชนี CPI ต.ค. -0.2%YoY แย่กว่าคาดที่ -0.1%YoY ส่วนดัชนี PPI ต.ค. -2.6%YoY ลดลงต่อเป็นเดือนที่ 13 บ่งชี้จีนยังคงอยู่ในสภาวะเงินฝืดและอุปสงค์ใน ปท. ยังคงซบเซา
• วันนี้ 14.00 น. นายกฯ เตรียมแถลงความชัดเจนโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ขณะที่วานนี้รัฐบาลแถลงผลงาน 60 วัน แก้ปัญหาปากท้อง หนุนการท่องเที่ยว พักหนี้เกษตรกร สร้างความเชื่อมั่น นลท.
• BOI ระบุยอดขอรับส่งเสริมลงทุน 9 เดือน โต 31% มูลค่าทะลุ 5 แสนลบ. พร้อมเห็นชอบมาตรการยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ ยกเว้นภาษี 3 ปี หนุนเปลี่ยนผ่านสู่เทคโนโลยีใหม่
• ม. หอการค้าไทย รายงานดัชนีความเชื่อมั่นงผู้บริโภค ต.ค. 66 อยู่ที่ระดับ 60.2 ปรับตัวดีขึ้นจาก ก.ย. ที่ 58.7 เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 และสูงสุดในรอบ 44 เดือน นับตั้งแต่ มี.ค. 62
• โตโยต้า เข้าพบนายกฯ ลงทุนในไทย ผลักดันเป็นศูนย์กลางภูมิภาค พร้อมปรับตัวสู่การผลิตรถอีวี ขอมาตรการสนับสนุนระยะยาว
• ก.ล.ต.-ตลท. แถลงยืนยันชอร์ตเซลไม่มีผลให้ราคาหุ้นปรับลงรุนแรง ระบุหากห้ามทำธุรกรรมขายชอร์ตเหมือนขัดขวางกลไกตลาด ส่วนโปรแกรมเทรด High Frequency Trading จากต่างชาติ ไม่ใช่ต้นเหตุ
กลยุทธ์การลงทุน
แม้ SET มีโอกาสฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง หลังมีความหวังเฟดอาจใกล้ยุติวงจรปรับขึ้นดอกเบี้ย แต่อย่างไรก็ดี คาด Upside จะยังถูกจำกัด เนื่องจากยังขาดปัจจัยบวกใหม่เพิ่มเติมที่จะเข้ามาช่วยกระตุ้นบรรยากาศลงทุน อีกทั้งมีประเด็นเสี่ยงที่ต้องติดตามจากสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง และปัจจัยในประเทศกำลังเข้าสู่ช่วงติดตามการประกาศผลการดำเนินงาน 3Q66 ของหุ้นกลุ่ม Real Sector กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy”
ล็อคเป้าลงทุน
Weekly Portfolio : แม้ SET มีโอกาสฟื้นตัวต่อได้ แต่ Upside ยังถูกจำกัด เนื่องจากยังขาดปัจจัยหนุนใหม่ รวมทั้งรอติดตามสถานการณ์ตะวันออกกลาง และประกาศงบ 3Q66 ของกลุ่ม Real Sector กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ในธีมที่มีปัจจัยเฉพาะตัว ดังนี้
1) หุ้น Big Cap. ที่คาดฟื้นตัวตามตลาด โดยเลือกหุ้น Undervalued ซึ่งราคาปรับลงมาจนเข้าเขต Oversold และยังมีพื้นฐานดี อีกทั้ง Valuation ไม่แพง (PER และ PBV 23F ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี) เลือก BDMS CPALL CPN MINT
2) หุ้นที่คาดผลประกอบการดีต่อเนื่องไปใน 4Q66 (+YoY, +QoQ) เลือก AP AOT BCH CENTEL รวมทั้ง KCE ที่ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว (+QoQ)
3) หุ้นเก็งกำไร ซึ่งคาดได้อานิสงส์จากราคาน้ำมันปรับขึ้นหรือทรงตัวในระดับสูง หากความตึงเครียดในตะวันออกกลางไม่ทวีความรุนแรงมากขึ้น (Upside ราคาน้ำมัน 5-10 เหรียญสหรัฐฯ) แนะนำเทรดดิ้งราคาน้ำมัน Brent ในกรอบ 84-94 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เลือก BCP PTTEP
ขณะที่ระยะกลางแนะนำระมัดระวังหุ้นที่คาดได้รับผลกระทบจากปรากฎการณ์เอลนีโญที่จะกระทบต่อกำลังซื้อภาคเกษตรลดลง ได้แก่ กลุ่มสินเชื่อ (MTC SAWAD) กลุ่มยานยนต์ (SAT STANLY) กลุ่มเครื่องดื่ม (CBG จากราคาน้ำตาลที่สูงขึ้น) รวมถึงกลุ่มเกษตรและอาหาร (CPF GFPT BTG)
DAILY TOP PICKS
KTB แนวโน้มผลประกอบการ 4Q66 ทรงตัว QoQ แต่ยังคงจะปรับตัวขึ้นได้ YoY จาก NIM ที่สูงขึ้น หลังจากผลประกอบการ 3Q66 เติบโตดีตามคาด ทำให้ปี 2566 คาดกำไรจะเพิ่มขึ้น 21% YoY และคาดเพิ่มขึ้นอีก 5% ในปี 2567 หนุนโดย NIM ที่ยังขยายตัวเพิ่มเล็กน้อย
BEM กำไรจะยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดย 3Q66 คาดมีกำไรสุทธิ 956 ลบ. เพิ่มขึ้น 6.2%QoQ และ 10.8%YoY ได้แรงหนุนจากปริมาณรถที่ใช้ทางด่วนและจำนวนผู้โดยสาร MRT ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่ทั้งปี 2566 คาดกำไรเติบโตเด่น 60.6%YoY
ข่าวเด่น