คาด SET ยังได้ปัจจัยหนุนจากการคาดการณ์เฟดจะยุติวงจรการขึ้นดอกเบี้ย หลังตัวเลข PPI ของสหรัฐออกมาต่ำคาด เป็นในทางเดียวกับดัชนีราคาผู้บริโภคก่อนหน้า โดยดัชนีมีแนวต้านถัดไปที่ 1422 และ 1432 จุด ตามลำดับ ขณะที่ในระยะสั้น มีการย่อตัวสลับเพื่อลดความร้อนแรงบ้าง โดยมีแนวรับที่ 1410 และ 1400 จุด ตามลำดับ เป็นจุดรองรับ
ประเด็นสำคัญ
• พาณิชย์ระบุ IEA คาดยอดขาย EV ของโลกในปีนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 14 ล้านคัน +35%YoY โดยจีนมียอดขายมากที่สุดของโลก ขณะที่ไทยมียอดจดทะเบียน BEV ใน 9M66 อยู่ที่ 66,919 คัน +300%YoY
• ส.อ.ท. รายงานดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม ต.ค. 66 ลดลงเป็นเดือนที่ 4 ต่ำสุดในรอบ 16 เดือน นับตั้งแต่ ก.ค. 65 เนื่องจาก ศก. ใน ปท. ฟื้นตัวช้าจากกำลังซื้อของผู้บริโภคยังอ่อนแอ
• นายกฯ ประกาศความร่วมมือทางยุทธศาสตร์กับ Google-Microsoft พร้อมลงทุนในไทยกว่า 2 แสนลบ. โดย Google ลงทุนนโยบายการใช้งานคลาวด์เป็นหลัก ส่วน Microsoft ตั้ง datacenter
• วานนี้ ปธน. โจ ไบเดน พบกับ ปธน. สี จิ้นผิง เป็นครั้งแรกในรอบปี เพื่อหารือบรรเทาความขัดแย้งความขัดแย้งทางทหาร การค้ายาเสพติด และปัญญาประดิษฐ์
• ดัชนี PPI ต.ค. ของสหรัฐลดลง 0.5%MoM ลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่ เม.ย. 63 สวนทางตลาดคาดจะเพิ่มขึ้น ส่วนยอดค้าปลีก ต.ค. ลดลง 0.1% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงครั้งแรกนับตั้งแต่ มี.ค. 66
• EIA รายงานสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐสัปดาห์ที่แล้วเพิ่มขึ้น 3.6 ล้านบาร์เรล มากกว่าคาด ส่วนการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐ ต.ค. เพิ่มขึ้นทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 13.2 ล้านบาร์เรล/วัน ขณะที่การดำเนินการของโรงกลั่นน้ำมันในจีน ต.ค. ลดลงจาก ก.ย. หลังอุปสงค์เชื้อเพลิงในอุตสาหกรรม-อัตรากำไรลดลง
• ดัชนี CPI ของอังกฤษ ต.ค. ปรับลดลงอย่างมากเทียบกับ ก.ย. ทำระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี
กลยุทธ์การลงทุน
แม้ตลาดหุ้นไทยจะยังคงเผชิญความผันผวนสูง แต่ช่วงสั้นคาด SET จะมีโอกาสกลับมาฟื้นตัวได้ เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจและผลประกอบการทั่วโลกไม่แย่กว่าที่ตลาดกังวล อีกทั้งในประเทศยังมีความคาดหวังการจัดตั้งกองทุน LTF และต่ออายุ SSF อย่างไรก็ดีในแง่ของ Upside ของ SET มองจะยังถูกจำกัด หลังอาจมีแรงขายทำกำไรจากการสิ้นสุดประกาศผลการดำเนินงาน 3Q66 ของหุ้นกลุ่ม Real Sector กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy”
ล็อคเป้าลงทุน
Weekly Portfolio : แม้ตลาดหุ้นไทยยังเผชิญความผันผวนสูง แต่ช่วงสั้นมอง SET ยังมีโอกาสฟื้นตัวได้ ภายใต้ Upside ที่จำกัด กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ในธีมที่มีปัจจัยเฉพาะตัว ดังนี้
1) หุ้น Big Cap. ที่คาดฟื้นตัวได้ตามตลาดและมีความผันผวนต่ำ โดยเลือกหุ้น Undervalued ซึ่งราคาปรับลงมาจนเข้าเขต Oversold และยังมีพื้นฐานดี อีกทั้ง Valuation ไม่แพง (PER และ PBV 23F ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี) เลือก BDMS BEM BBL GULF SCGP
2) หุ้น Earnings Play ซึ่งจะมีการประกาศงบ 3Q66 ในสัปดาห์หน้า ขณะที่โมเมนตัมกำไร 4Q66 จะยังเติบโต YoY และเป็นไตรมาสที่ดีสุดของปี เลือก ERW AOT CENTEL ZEN CRC
จากการที่กระทรวงการคลังอนุมัติตั้งกองทุน TESG ลงทุนหุ้น-ตราสารหนี้ที่มี ESG หวังกระตุ้นการลงทุนใน ตลท. ระยะยาว โดยให้ลดหย่อนภาษีไม่เกิน 1 แสนบาทต่อปี ระยะถือครอง 8 ปี เริ่มลงทุนได้ ธ.ค. นี้ คาดมีเม็ดเงินเข้ามาไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นลบ. ซึ่งเราได้คัดเลือกหุ้นที่อยู่ในดัชนี SETESG ที่มีคุณสมบัติน่าสนใจ ดังนี้ 1) ได้ ESG Rating “AAA” หรือ “AA” และ 2) ราคาหุ้นปรับตัวลงแรง YTD พบว่า มี 5 หุ้นที่น่าสนใจซึ่งคาดจะเป็นเป้าหมายการลงทุน ได้แก่ TOP CRC SCGP GULF ZEN (ทั้งนี้ในอดีตที่คลังเคยอนุมัติ SSF เฉพาะกิจ (SSFX) ในช่วงโควิด ให้ลงทุนในหลักทรัพย์ไทยไม่น้อยกว่า 65% โดยให้ลดหย่อนภาษีไม่เกิน 2 แสนบาทต่อปี ระยะถือครอง 8 ปี เริ่มลงทุนได้ 1 เม.ย.-30 มิ.ย. มีเม็ดเงินเข้ามาราว 2 หมื่นลบ. และ SET Index ปรับขึ้นกว่า 200 จุด)
ขณะที่ระยะกลางระมัดระวังหุ้นที่คาดได้รับผลกระทบจากปรากฎการณ์เอลนีโญที่จะกระทบต่อกำลังซื้อภาคเกษตรลดลง ได้แก่ กลุ่มสินเชื่อ (MTC SAWAD) กลุ่มยานยนต์ (SAT STANLY) กลุ่มเครื่องดื่ม (CBG จากราคาน้ำตาลที่สูงขึ้น) กลุ่มเกษตรและอาหาร (CPF GFPT BTG)
DAILY TOP PICKS
SCGP เป็นหุ้นใน SETESG Index ที่น่าสนใจซึ่งคาดเป็นเป้าหมายการลงทุน โดยได้ Rating “AAA” ขณะที่ราคาหุ้นปรับลงแรง 34.2%YTD สะท้อนปัจจัยลบส่วนใหญ่ไปแล้ว และคาดกำไรปกติจะปรับตัวดีขึ้นใน 4Q66 ตามแนวโน้มราคากระดาษบรรจุภัณฑ์ที่ดีขึ้น ซึ่งจะช่วยจำกัด downside risk
OR เป็นหุ้นใน SETESG Index ที่น่าสนใจ โดยได้ Rating “AA” ขณะที่ราคาหุ้นปรับลง 18.9%YTD ซึ่งมองตลาดกังวลมาตรการคุมราคาน้ำมันในประเทศมากไป ทั้งนี้ 4Q66 คาดกำไรปกติจะได้แรงหนุนจากเป็นไฮซีซั่นของการเดินทาง หนุนปี 2566 คาดกำไรสุทธิ 1.36 หมื่นลบ. (+31%YoY)
ข่าวเด่น