เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
SCB EICวิเคราะห์ "อุตสาหกรรมอาหารทะเลมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น ท่ามกลางความเสี่ยงรอบด้าน การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่เปราะบาง และต้นทุนการดำเนินงานที่ยังอยู่ในระดับสูง"


อุตสาหกรรมอาหารทะเลในปี 2567 และระยะ Medium-term มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น สอดคล้องกับภาพรวมเศรษฐกิจและกำลังซื้อของผู้บริโภคทั้งในไทยและตลาดโลกที่ทยอยฟื้นตัวดีขึ้นอย่างช้า ๆ อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมยังจำเป็นต้องเฝ้าระวังความเสี่ยงจากแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ยังคงเปราะบางและอาจเติบโตต่ำกว่าคาด รวมถึงผลกระทบจากความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่มีแนวโน้มลุกลามขยายวงกว้างมากขึ้น ซึ่งปัจจัยเหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและความต้องการบริโภคอาหารทะเลของผู้บริโภคในระยะต่อไปได้
 
 
• มูลค่าการส่งออกทูน่ากระป๋องของไทยในปี 2567 มีแนวโน้มกลับมาขยายตัวเป็นบวกที่ 5.5%YOY หลังจากคาดว่าจะหดตัวในปีนี้ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลกระทบจากปรากฏการณ์เอลนีโญที่ส่งผลให้อุปทานปลาทูน่าลดลง โดยปัจจัยสำคัญที่จะช่วยหนุนการเติบโตในปีหน้ามาจากความต้องการในประเทศคู่ค้าที่ทยอยปรับตัวดีขึ้น อย่างไรก็ดี มูลค่าการส่งออกจะยังคงอยู่ต่ำกว่าช่วง Pre-COVID (2558-2562) เล็กน้อย ขณะที่ต้นทุนของผู้ประกอบการโดยเฉพาะอย่างยิ่งวัตถุดิบทูน่าและต้นทุนการออกจับปลายังมีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะยังคงกดดันอัตรากำไรของผู้ประกอบการในระยะต่อไป 
 
 
• มูลค่าการส่งออกกุ้งและผลิตภัณฑ์มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นเช่นเดียวกัน โดยคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตในปีหน้าที่ราว 4%YOY หลังจากที่คาดว่าจะหดตัว -11.4%YOY ในปีนี้ จากแรงหนุนของความต้องการนำเข้าในประเทศคู่ค้าสำคัญที่ทยอยฟื้นตัว ทั้งนี้หากพิจารณาเป็นรายสินค้าจะพบว่า การส่งออกกุ้งสดแช่เย็นแช่แข็งฟื้นตัวได้เร็วกว่ากุ้งแปรรูป โดยได้รับปัจจัยหนุนจากการส่งออกกุ้งสดแช่เย็นแช่แข็งไปยังตลาดจีนที่เติบโตดี ซึ่งส่วนหนึ่งได้รับอานิสงส์จากการยกเลิกนโยบาย Zero COVID ของทางการจีนที่ทำให้การส่งออกในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาขยายตัวสูง อย่างไรก็ดี ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิดในระยะต่อไปคือ การชะลอตัวของเศรษฐกิจคู่ค้าสำคัญอย่างจีน และนโยบายสร้างความมั่นคงด้านอาหาร (Food security policy) ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความต้องการนำเข้าสินค้ากุ้งจากไทยในระยะต่อไปได้

ประเด็นสำคัญและความท้าทายที่ส่งผลกระทบต่อแนวโน้มอุตสาหกรรมอาหารทะเล ได้แก่
 
• มาตรการกีดกันทางการค้าที่มิใช่ภาษี โดยเฉพาะประเด็นเรื่อง ESG การทำประมงอย่างยั่งยืน (Sustainable fishing) และการปฏิบัติต่อแรงงานอย่างเป็นธรรม (Fair labor practices) เป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการในธุรกิจประมงจำเป็นต้องให้ความสำคัญมากยิ่งขึ้น เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันและลดอุปสรรคจากข้อกีดกันทางการค้าที่มิใช่ภาษี (NTBs) ต่างๆ เหล่านี้
 
• การแข่งขันจากสินค้านวัตกรรมทางเลือกใหม่ ๆ เช่น ผลิตภัณฑ์ประเภท Plant-based seafood ที่มีการวิจัยและพัฒนาออกมาอย่างหลากหลายเพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคที่มีแนวโน้มหลีกเลี่ยงการบริโภคเนื้อสัตว์และนิยมบริโภคโปรตีนทางเลือกจากพืชมากขึ้นอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน
 
• นโยบายการสร้างความมั่นคงด้านอาหาร (Food security) ของคู่ค้าหลักอย่างจีน ส่งผลให้จีนมีแนวโน้มทยอยลดการนำเข้าและพึ่งพาการผลิตภายในประเทศมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งนโยบายดังกล่าวส่งผลกระทบต่อแนวโน้มการส่งออกสินค้าอาหารของไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าที่พึ่งพาตลาดจีนเป็นหลัก ซึ่งรวมถึงสินค้าประมงอย่างกุ้งสดแช่เย็นแช่แข็ง

จากความท้าทายดังกล่าวข้างต้น SCB EIC มองว่า ผู้ประกอบการควรเร่งปรับปรุงและพัฒนากระบวนการผลิตของตนให้สอดรับกับกฎระเบียบและมาตรฐานสากลโดยเฉพาอย่างยิ่งประเด็นด้าน ESG เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขัน และลดอุปสรรคทางการค้าต่าง ๆ รวมถึงต้องให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่มีความหลากหลายและแปลกใหม่ และหาแนวทางสร้างมูลค่าเพิ่มจาก By-product ในกระบวนการผลิต พร้อมๆ ไปกับการมองหาตลาดส่งออกสินค้าประมงใหม่ ๆ เพื่อกระจายความเสี่ยงและหลีกหนีการแข่งขันในตลาดส่งออกเดิม  
 
 
บทวิเคราะห์โดย... https://www.scbeic.com/th/detail/product/seafood-091123

 
ผู้เขียนบทวิเคราะห์ : โชติกา ชุ่มมี ผู้จัดการกลุ่มธุรกิจสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมการผลิต ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) EIC Online : www.scbeic.com Line : @scbeic
 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 16 พ.ย. 2566 เวลา : 11:47:34
27-11-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 27, 2024, 9:32 am