SET ปิดหลุดต่ำกว่า 1400 จุด สร้างสัญญาณลบทางเทคนิคให้อ่อนตัวลงได้ต่อ โดยมีแนวรับถัดไปที่ 1390 และ 1380 จุด ตามลำดับ ด้านการฟื้นตัวถูกจำกัดที่แนวต้าน 1410 และ 1415 จุด ตามลำดับ ต้องขึ้นทะลุผ่านให้ได้ก่อน ถึงจะกลับมาเป็นสัญญาณที่ดี ประเด็นสำคัญสัปดาห์นี้ ติดตามประชุมกนง. และ GDP สหรัฐ Q3 ในวันพุธนี้
ประเด็นสำคัญ
• WHO เผยหน่วยงานด้าน สธ. ของจีนไม่พบเชื้อโรคที่ผิดปกติหรือชนิดใหม่ และได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของโรคระบบทางเดินหายใจและคลัสเตอร์โรคปอดอักเสบในเด็กตามที่ WHO เรียกร้อง
• ญี่ปุ่นตรวจพบไข้หวัดนกระบาดเป็นครั้งแรกในฤดูกาลนี้ เตรียมฆ่าทำลายไก่ 4 หมื่นตัว ขณะที่ฮ่องกงสั่งกำจัดสุกรกว่า 1,900 ตัว หลังตรวจพบโรคอหิวาต์แอฟริกา (ASF) ตัวที่ 2 ในฟาร์มท้องถิ่น
• สัญญาธัญพืชปรับตัวลง โดยสัญญาถั่วเหลืองร่วงลงเกือบ 2% หลังจากมีรายงานว่าสภาพอากาศในบราซิลเอื้ออำนวยต่อการเพาะปลูกและอาจทำให้ผลผลิตธัญพืชปรับตัวสูงขึ้น
• IEA เผยการลงทุนในธุรกิจน้ำมันและก๊าซมูลค่า 8 แสนล้านดอลลาร์ต่อปีอาจจะลดลงครึ่งหนึ่งภายในปี 2573 หากต้องการบรรลุเป้าหมายจำกัดอุณหภูมิโลกไม่ให้ร้อนขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส
• กพท. ระบุ 10 สายการบินจีนยกเลิกเที่ยวบินเข้าไทยในอีก 2 เดือนข้างหน้านี้ (ธ.ค.66-ม.ค.67) หายไป 39% หลัง นทท. จีนเที่ยวไทยต่ำกว่าที่คาดไว้ เหตุ ศก. จีนชะลอตัวเป็นหลัก
• โรงงานผลิตยางรถบรรทุก 5 รายใหญ่ในสหรัฐ กล่าวหาไทยทุ่มตลาด อาจแระทยส่งออกยางรถบรรทุกมูลค่ากว่า 5 หมื่นลบ. โดย 1 ธ.ค. 66 USITC จะประกาศผลความเสียหายเบื้องต้น
• วันนี้ ก.ล.ต. ร่วมกับ ASCO เชิญให้สมาชิกสมาคมเข้าร่วมประชุมเพื่อหารือเกี่ยวกับประเด็นการทำ Short Sell อาทิ การเรียกเก็บค่าคอมมิชชั่น และการวางหลักประกัน เป็นต้น
กลยุทธ์การลงทุน
เรามองช่วงสั้น SET จะเคลื่อนไหวผันผวนในกรอบ หลังขาดปัจจัยหนุนใหม่ โดยการประชุมนโยบายการเงินของ กนง. ในวันที่ 29 พ.ย. นี้ ตลาดและเราคาดจะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 2.50% ขณะที่คาดจะเริ่มมีเม็ดเงินลงทุนในกองทุน TESG ทยอยเข้ามาหลัง บลจ. เริ่มขายตั้งแต่ 1 ธ.ค. นี้ ซึ่งจะช่วยสร้างเสถียรภาพให้แก่ตลาดหุ้นไทย กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy”
ล็อคเป้าลงทุน
Weekly Portfolio : ช่วงสั้นมอง SET เคลื่อนไหวผันผวนในกรอบ หลังไร้ปัจจัยหนุนใหม่เข้ามาช่วยกระตุ้นบรรยากาศลงทุน ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ในธีมที่มีปัจจัยเฉพาะตัว ดังนี้
1) หุ้น Big Cap. (SET50) ที่คาดเป็นเป้าหมายการลงทุนจากแผนจัดตั้งกองทุน TESG เพื่อกระตุ้นการลงทุนใน ตลท. ระยะยาว ซึ่งเราได้คัดเลือกหุ้นที่อยู่ในดัชนี SETESG ที่มีคุณสมบัติน่าสนใจ ดังนี้ (I) ได้ ESG Rating “AAA” หรือ “AA” และ (II) ราคาหุ้นปรับตัวลงแรงกว่า SET YTD เลือก SCGP OR CPALL BEM GULF CRC HMPRO
2) หุ้น Big Cap. (SET50) ที่คาดเป็นเป้าหมายการลงทุนจากแผนจัดตั้งกองทุน TESG เพื่อกระตุ้นการลงทุนใน ตลท. ระยะยาว ซึ่งคัดเลือกหุ้นที่อยู่ในดัชนี SETESG ที่ได้ ESG Rating “AAA” และราคาหุ้นปรับขึ้นดีกว่า SET YTD อีกทั้งผลการดำเนินงานยังแข็งแกร่ง และคาดให้ Div. Yield มากกว่า 5% ต่อปี เลือก PTT KTB
ช่วงสั้นแนะนำระมัดระวังหุ้นที่คาดได้รับผลกระทบอย่างมีนัยจากแผนปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำของรัฐบาลซึ่งจะมีการประชุม ครม. 12 ธ.ค. นี้ ได้แก่ กลุ่มขนส่งพัสดุ (KEX) กลุ่มอาหาร (CPF ZEN GFPT TU AU) กลุ่มอสังหาฯ (LPN PSH SPALI SIRI QH AP) และกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ (HANA KCE) ขณะที่ระยะกลางแนะนำระมัดระวังหุ้นที่คาดได้รับผลกระทบจากภาวะเอลนีโญที่จะกระทบต่อกำลังซื้อภาคเกษตรลดลง ได้แก่ กลุ่มสินเชื่อ (MTC SAWAD) กลุ่มยานยนต์ (SAT STANLY) กลุ่มเครื่องดื่ม (CBG จากราคาน้ำตาลที่สูงขึ้น) รวมถึงกลุ่มเกษตรและอาหาร (CPF GFPT BTG)
DAILY TOP PICKS
BDMS มองเป็นหุ้นใน SETESG Index ที่น่าสนใจ โดยได้ Rating “AA” ขณะที่ 4Q66 คาดกำไรปกติโต YoY หนุนทั้งปี 2566 กำไรปกติโต 12%YoY และปี 2567 โตต่อเนื่อง 8%YoY จากบริการผู้ป่วยต่างชาติที่เติบโตมากขึ้น รายได้จากศูนย์ความเป็นเลิศที่เพิ่มขึ้น และการใช้ประโยชน์สินทรัพย์ได้ดีขึ้น
PTT มองเป็นหุ้นใน SETESG Index ที่น่าสนใจ โดยได้ Rating “AAA” ทั้งยังเป็นหุ้น defensive ในกลุ่มพลังงาน มีการกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจที่ลงตัว มีการขยายไปสู่ธุรกิจพลังงานแห่งอนาคตและธุรกิจอื่นๆ ซึ่งจะทำให้ผลประกอบการมีเสถียรภาพมากขึ้นในระยะยาว คาด Div. Yield สูงถึงปีละ 6%
ข่าวเด่น