บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) (“MTC”) เตรียมเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่ 2 รุ่น ให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป (Public Offering) ประกอบด้วย หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 1 ปี 5 เดือน 15 วัน อัตราดอกเบี้ย 4.25% ต่อปี และหุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 2 ปี 5 เดือน 14 วัน อัตราดอกเบี้ย 4.40% ต่อปี คาดว่าจะเสนอขายระหว่างวันที่ 21-22 และ 25 ธันวาคม 2566 นี้ ทริสจัดอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ที่ “BBB+” แนวโน้มอันดับเครดิต “คงที่” เผยนำเงินที่ได้ไปปล่อยสินเชื่อ ดันพอร์ตเติบโตตามเป้าที่ 20%
นายปริทัศน์ เพชรอำไพ รองกรรมการผู้จัดการ เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ยื่นแบบแสดงรายงานข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้และร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลัก ทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) เพื่อออกและเสนอขายหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ ต่อผู้ลงทุนทั่วไป (Public Offering) โดยวัตถุประสงค์ในการออกหุ้นกู้ครั้งนี้ บริษัทฯ จะนำเงินที่ได้ไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนเพื่อขยายกิจการของบริษัทฯ ที่ยังโตต่อเนื่อง โดยหุ้นกู้ที่เสนอขายในครั้งนี้ประกอบด้วย
1. หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 1 ปี 5 เดือน 15 วัน อัตราดอกเบี้ย 4.25% ต่อปี และ
2. หุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 2 ปี 5 เดือน 14 วัน อัตราดอกเบี้ย 4.40% ต่อปี
ซึ่งหุ้นกู้ทั้ง 2 ชุดจ่ายดอกเบี้ยทุก ๆ 3 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้ ทั้งนี้สำหรับอัตราดอกเบี้ยที่แน่นอนสำหรับหุ้นกู้ชุดที่ 2 จะประกาศให้ทราบอีกครั้ง และคาดว่าจะเสนอขายระหว่างวันที่ 21-22 และ 25 ธันวาคม 2566 นี้ อันดับความน่าเชื่อ ากทริสเรทติ้ง เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2566 โดยวัตถุประสงค์ในการออกหุ้นกู้ครั้งนี้ บริษัทฯจะนำเงินที่ได้ไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนเพื่อขยายกิจการของบริษัทฯ ที่ยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทฯ ตั้งเป้าสินเชื่อปีนี้โตไม่ต่ำกว่า 20% และเชื่อมั่นว่าจะสามารถทำได้ตามแผนที่วางไว้
“ตลอดระยะเวลาการดำเนินงานของบริษัทฯ กว่า 30 ปี ที่บริษัทฯ ได้เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างโอกาสทางการเงินอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม พัฒนาความเป็นอยู่ที่ดี ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างสังคมให้เป็นสุข รวมถึงสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจให้เกิดความมั่นคงและยั่งยืน ตามเป้าหมายของสหประชาชาติ (SDGs) ได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจอย่างมีธรรมาภิบาล คำนึงถึงผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม จนได้รับการรับรองผลการประเมิน ESG MSCI Index ในปี 2566 ที่ระดับ AA ในกลุ่มธุรกิจสินเชื่อเพื่อผู้บริโภค (Customer Finance) ได้รับการจัดอันดับอยู่ในรายชื่อหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ที่ระดับ A ประจำปี 2566 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน จากการประเมินทางมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้รับผลการประเมินการกำกับดูแลกิจการบริษัทจดทะเบียนไทย ประจำปี 2566 จากสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (Thai Institute of Directors : IOD) ในระดับดีเลิศ (Excellent CG Scoring) หรือ 5 ดาว และเป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน อีกด้วย และในปี 2566 บริษัทฯ ได้รับการสนับสนุนทางการเงินจาก DEG และ SMBC (โดยวงเงินทั้งหมดได้ดำเนินการปิดความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเรียบร้อยแล้ว) จะส่งผลให้บริษัทฯ สามารถสานต่อการดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนตามที่บริษัทฯ ตั้งใจไว้” นายปริทัศน์ กล่าว
นายปริทัศน์ เพชรอำไพ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า สำหรับนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่ทั้งพักชำระหนี้และการแจกเงินเงินดิจิทัลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจไทย คาดว่าจะช่วยให้ลูกค้าของบริษัทฯ มีสภาพคล่องมากขึ้น โดยนโยบายพักชำระหนี้จะส่งผลดีต่อกลุ่มเปราะบางจำนวนมาก ซึ่งรวมถึงกลุ่มเกษตรกรที่เป็นลูกค้าของบริษัทฯ เมื่อได้รับการพักชำระหนี้ก็มีโอกาสจะนำเงินที่ไม่ต้องชำระหนี้มาสร้างผลผลิตและรายได้เพิ่มมากขึ้น ส่วนเงินดิจิทัลก็จะทำให้ลูกค้าของบริษัทฯ มีเงินเหลือและสามารถนำมาชำระหนี้ได้มากขึ้นตามไปด้วย และสำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา บริษัทฯ มีสินเชื่อคงค้างทั้งสิ้น 138,742 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2 ที่มีสินเชื่อคงค้างทั้งสิ้น 132,851 ล้านบาท มีรายได้ 6,299 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 1,285 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2 ที่มีรายได้ 6,041 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 1,200 ล้านบาท รวม 9 เดือนของปี 2566 บริษัทฯ มีรายได้ 17,971 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 3,555 ล้านบาท ในส่วนของจำนวนสาขาในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา บริษัทฯ เปิดสาขาเพิ่มขึ้นอีกจำนวน 105 สาขา ทำให้บริษัทฯ มีจำนวนสาขาทั้งสิ้น 7,365 สาขา ครอบคลุมทุกภูมิภาคของประเทศ นอกจากนี้ ในไตรมาส 3 บริษัทฯ ยังมีการดำรงอัตราส่วนของลูกหนี้ด้อยคุณภาพ (ค้างชำระเกิน 3 เดือน) ต่อลูกหนี้เงินให้สินเชื่อทั้งหมด (NPL Ratio) ที่ 3.18% ซึ่งปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาส 2 ที่มีอัตราส่วนอยู่ที่ 3.36%
ทั้งนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนซึ่งยังไม่มีผลบังคับใช้ เนื่องจากอยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงาน ก.ล.ต.สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่สนใจจองซื้อหุ้นกู้บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC สามารถจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท และสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.sec.or.th หรือติดต่อผ่านสถาบันการเงินซึ่งเป็นผู้จัดการการจำหน่ายหุ้นกู้ ดังนี้
* ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (โดยบุคคลรรมดาจองซื้อทางออนไลน์ผ่านhttps://www.kasikornbank.com/kmyinvest ยกเว้นบุคคลสัญชาติต่างด้าว และนิติบุคคล สามารถจองซื้อผ่านสำนักงานใหญ่และสาขา) โทร. 02-888-8888 กด 819
* ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) (โดยบุคคลธรรมดาสามารถจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน Mobile Application - CIMB Thai Digital Banking ได้อีก 1 ช่องทาง) โทร. 02-626-7777
* บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด โทร. 02-680-4004
* บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โทร. 02-658-5050
* บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด โทร. 02-695-5000
* บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โทร. 02-351-1800
* บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) จำกัด โทร. 02-846-8675
* บริษัทหลักทรัพย์ บลูเบลล์ จำกัด โทร. 02-249-2999
* บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) โทร. 02-638-5500
* บริษัทหลักทรัพย์ พาย จํากัด (มหาชน) โทร.02-205-7000
* บริษัทหลักทรัพย์ เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด (มหาชน) โทร. 02-660-6624
หมายเหตุ: บริษัทอยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงาน ก.ล.ต. ซึ่งยังไม่มีผลใช้บังคับ
การจัดสรรขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ เงื่อนไขการจัดจำหน่ายเป็นไปตามที่กำหนดในร่างหนังสือชี้ชวน
คำเตือน: โปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลในร่างหนังสือชี้ชวนก่อนการตัดสินใจลงทุน ทั้งนี้ ผู้ลงทุนสามารถศึกษารายละเอียดได้จากแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนตามรายละเอียดด้านล่าง
ข่าวเด่น