SCB Wealth ศูนย์บริหารสินทรัพย์และจัดการด้านความมั่งคั่ง ให้กับฐานลูกค้ากลุ่ม Wealth ของ ธนาคารไทยพาณิชย์ แนะนำถึงการลงทุนอย่างมีศักยภาพในปี 2024 ที่ควรแบ่งเงินลงทุนในต่างประเทศ จากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าไทย เน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่มีคุณภาพสูง ทยอยลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล และหุ้นกู้ Investment Grade ส่วนตลาดหุ้น ทยอยสะสมหุ้นกลุ่ม Quality Growth เช่น 7 บริษัทที่มีมาร์เก็ตแคปมากที่สุดในตลาดหุ้นสหรัฐ ญี่ปุ่น และ อินเดีย หุ้นไทย มีปัจจัยสนับสนุนจากเศรษฐกิจที่ได้แรงหนุนจากการส่งออก ท่องเที่ยว และมาตรการกระตุ้นภาครัฐฯ ท่ามกลาง Valuation ที่อยู่ในระดับที่เหมาะสม ส่วนหุ้นไทย InnovestX ชี้ปี 2024 ยังคงมีความผันผวน แต่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าปีนี้ มอง Set Index พุ่งแตะ 1,650-1,750 จุด
ปี 2023 นี้ เป็นปีที่ต้องเผชิญกับสภาวะการลงทุนในตลาดโลกที่มีความผันผวนตลอดปี ทั้งในเรื่องของอัตราดอกเบี้ย สถานการณ์เงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง รวมทั้งสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครนที่ยังยืดเยื้อ ทำให้ในตอนแรก ทั่วโลกมีความกังวลว่าเศรษฐกิจอาจกำลังเข้าสู่ช่วงถดถอย ในแบบ Hard Landing ที่สร้างความเสียหายกับระบบเศรษฐกิจอย่างรุนแรง แต่สุดท้าย เมื่อเข้าสู่ช่วงปลายปี ถึงได้เฉลยว่าเศรษฐกิจทั่วโลกนั้นมีแนวโน้มชะลอตัวลง หรือ Soft Landing ในแบบที่จัดการได้ไปจนถึงปีหน้า แต่อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจปี 2024 มีแนวโน้มชะลอตัวไม่เหมือนกันในแต่ละประเทศ (Uneven slowdown) เนื่องจากผลกระทบของดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูง (Higher for longer) สภาพทางการเงินที่ตกอยู่ในสภาวะตึงตัวมานาน จึงทำให้แนวโน้มการปล่อยสินเชื่อมีความเข้มงวดมากขึ้น
ดังเช่นข้อมูลด้านบน ที่แสดงให้เห็นถึงการผิดนัดชำระหนี้และการขอยื่นล้มละลายในสหรัฐมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น รวมถึงกลุ่มประเทศ/ธุรกิจที่มีหนี้สูงใกล้ครบกำหนดจำนวนมาก จากการได้รับผลกระทบในเรื่องของอัตราดอกเบี้ย ทำให้มีความเสี่ยงที่ต้องกู้ยืมใหม่ (rollover) ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และยากขึ้นมาก นอกจากนี้ ยังมีความไม่แน่นอนทางด้านการเมืองจากการเลือกตั้งในหลายๆประเทศ เช่นในไทย ที่เกิดการไหลออกของเงินทุนจากตลาดไทยไปต่างประเทศ รวมถึงความไม่แน่นอนทางการเมืองไทยหลังการเลือกตั้ง ส่งผลให้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ชัดเจนและล่าช้าออกไป อีกทั้งความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ จากประเด็นสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยังไม่มีข้อสรุป และความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่มีความเสี่ยงในการลุกลามระดับสูง
ด้วยเหตุนี้ทำให้เกิดความเสี่ยงของสภาวะ Stagflation หรือ เศรษฐกิจเติบโตช้าแต่เงินเฟ้อสูง และตลาดการลงทุนมีความผันผวน สภาพคล่องทั่วโลกที่ลดลง (ที่ส่งผลต่อเม็ดเงินที่หมุนเวียนในตลาดทุนลดลง) ทาง SCB Wealth จึงแนะนำให้ลงทุนอย่างระมัดระวัง และแนะนำแนวทางการลงทุนในปี 2024 อย่างมีศักยภาพ ดังนี้
1.แบ่งเงินลงทุนในต่างประเทศ ที่มีโอกาสรับผลตอบแทนที่ดี จากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าไทย โดยควรเน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่มีคุณภาพสูง ไม่ว่าจะเป็น การทยอยลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล อย่างพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี เพราะมีแนวโน้มที่จะผ่านจุดสูงสุด เมื่อธนาคารกลางสหรัฐ หรือ Fed ขึ้นดอกเบี้ยครั้งสุดท้าย ซึ่งจะส่งผลให้ผลตอบแทนพันธบัตรเป็นบวก ทั้งในกรณี Fed Pause (คงอัตราดอกเบี้ย) และ Fed ลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งแรก นอกจากนี้ ควรลงทุนในผลิตภัณฑ์ความเสี่ยงต่ำอย่าง หุ้นกู้คุณภาพสูง (Investment Grade)
2.การลงทุนในตลาดหุ้น ควรทยอยสะสมหุ้นกลุ่ม Quality Growth ที่มีงบดุลที่แข็งแกร่ง มีกำไรเติบโตสม่ำเสมอ และเป็นหุ้นที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่เติบโตระดับสูง เช่น เทคโนโลยี กลุ่มสื่อสาร และกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟื่อย หรือจะเป็นหุ้นกลุ่ม Magnificent 7 ที่มีความสามารถเหนือกว่าภาพรวมในตลาด ทั้งการเติบโตของยอดขาย อัตรากำไร ROE ความสามารถในการสร้างกระแสเงินสด และงบการเงินที่แข็งแกร่งกว่าในระยะยาว เช่น Apple (AAPL), Microsoft (MSFT), Alphabet (GOOGL, GOOG), Amazon (AMZN), Meta Platforms (META), Tesla (TSLA) และ Nvidia (NVDA)
ส่วนตลาดหุ้นอื่นที่แนะนำ ได้แก่ ตลาดหุ้นญี่ปุ่น และ อินเดีย ที่เศรษฐกิจมีการเติบโตจากการบริโภคภายในประเทศ และงบกระตุ้นเศรษฐกิจและการบริโภคก่อนการเลือกตั้ง ขณะที่ ตลาดหุ้นไทย มีปัจจัยสนับสนุนจากเศรษฐกิจที่ได้แรงหนุนจากการส่งออก ท่องเที่ยว และมาตรการกระตุ้นภาครัฐ ท่ามกลาง Valuation ที่อยู่ในระดับที่เหมาะสม
3.พอร์ตลงทุนที่แนะนำ เพื่อคาดหวังผลตอบแทน 7-10% กรณีเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีความมั่งคั่งสูง (Wealth) รับความเสี่ยงได้สูง เข้าใจผลิตภัณฑ์ที่มีความซับซ้อน คือ แบ่งเงิน 15% ไว้ในบัญชีเงินฝากสกุลเงินต่างประเทศ (FCD) สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ หรือเลือกรับผลตอบแทนระหว่างรอแลกอัตราแลกเปลี่ยนที่ต้องการ ด้วยผลิตภัณฑ์ Dual Currency Note Pricing (DCI) ที่ให้ผลตอบแทนขึ้นอยู่กับอัตราแลกเปลี่ยนที่ลูกค้าต้องการ เลือกลงทุนตราสารหนี้ 15% เน้นตราสารหนี้ระยะยาว ลงทุนในหุ้น 30% ทั้งในไทยและต่างประเทศ ที่เป็นกลุ่มคุณภาพ เติบโตสูง โดยควรมีหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการสร้างผลบวกด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ในพอร์ตด้วย พร้อมกันนี้ควรลงทุนในหุ้นกู้อนุพันธ์ Capped Floored Floater Noted ที่จำกัดผลตอบแทนต่ำสุด แลกกับการจำกัดผลตอบแทนสูงสุด 10% หุ้นกู้อนุพันธ์อื่นๆ 10% สินทรัพย์นอกตลาดหลักทรัพย์ (Private Asset) 10% และสินค้าโภคภัณฑ์อีก 10% เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนต่างๆ
ส่วนตลาดหุ้นไทย InnovestX บริษัทการเงินการลงทุน ภายใต้กลุ่ม SCBX เปิดเผยว่า แม้ตลาดหุ้นไทยในปี 2024 ยังคงมีความผันผวน แต่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าปี 2023 เนื่องจากระดับ SET Index ในปัจจุบัน ถือว่าต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน (undervalue) โดยคาดว่า ตลาดยังมีความผันผวนสูงในช่วงครึ่งปีแรก และ ปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง โดยประเมินเป้าหมาย SET Index ณ สิ้นปี 2024 อยู่ที่ประมาณ 1,750 จุด ซึ่งปัจจัยกดดันที่คาดว่าจะสร้างความผันผวนให้กับตลาด ได้แก่ เศรษฐกิจโลกและจีนจากเรื่องของอสังหาริมทรัพย์มีการชะลอตัวลง ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ-จีน ที่รุนแรงและซับซ้อนมากขึ้น โดยเฉพาะปี 2024 จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีไต้หวันและการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ รวมถึง ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในรัสเซีย-ยูเครน และ อิสราเอล-ฮามาส ซึ่งมีความเสี่ยงกระทบต่อราคาอาหารและพลังงานให้ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ นอกจากนี้ความแปรปรวนของภูมิอากาศโลกและปรากฏการณ์เอลนีโญในประเทศไทยมีโอกาสสร้างผลกระทบต่อภาคเกษตรกรรม ในขณะที่ประเด็นความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจชะลอตัวหรือถดถอย เป็นปัจจัยที่ตลาดมีการคาดการณ์ว่าผลกระทบไม่รุนแรงมากเป็นเพียง Soft Landing หรือ Mild Recession ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯมีโอกาสปรับลดลงในช่วงครึ่งหลังปี 2024 ช่วยสร้างโอกาสให้เงินทุนต่างชาติไหลกลับมาลงทุนในตลาดเกิดใหม่ จากการที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯอ่อนค่า
ส่วนปัจจัยหนุนตลาดหุ้นไทย มาจากปัจจัยในประเทศ ได้แก่ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจและผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน เนื่องจากมีการคาดการณ์ว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจะเริ่มเป็นรูปธรรมมากขึ้น ส่งผลให้ภาคเอกชนมีความเชื่อมั่นและกลับมาลงทุนเพิ่ม แม้ว่าจะยังคงมีความเสี่ยงในเรื่องของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่าน Digital wallet อยู่บ้างก็ตาม เนื่องจากโดยภาพรวมคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 3-4% สูงกว่าปี 2023 ที่ขยายตัวต่ำกว่า 3% ในขณะเดียวกัน คาดว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนจะขยายตัวได้ 10-15% ซึ่งถือว่าดีกว่าปี 2023 ที่ชะลอตัว 10% โดยใน Set Index ในปีหน้า มองว่าตลาดปรับเพิ่มขึ้น แต่จะมีความผันผวนตลอดทั้งปี จุดเข้าซื้อสำคัญจะอยู่ในช่วง 1,400 - 1,450 จุด และมีเป้าหมายที่คาดการณ์ที่ 1,650 - 1,750 จุด
โดยหลักการเลือกหุ้นไทยในปี 2024 ได้แก่
1. จะต้องเป็นธุรกิจที่สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน มีความสามารถในการบริหารต้นทุน เช่น การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ, ต้นทุนราคาสินค้าโภคภัณฑ์ผันผวน จากภาวะอากาศแปรปรวน หรือความขัดแย้งระหว่างประเทศ
2. มีนวัตกรรมช่วยสร้างธุรกิจที่เป็น New S-Curve
3. สัดส่วนหนี้สินต่ำ ความสามารถในการชำระหนี้สูง
4. เหมาะสมกับ Investment theme ในปี 2024 เน้นหุ้นวัฏจักรเศรษฐกิจในประเทศ
5. ให้ความสำคัญกับESG อย่างชัดเจน เช่น หุ้นที่ได้ ESG Score สูง ระดับ AAA จาก SET แต่ราคาลดลงมามาก
6.ราคายัง Under Value หรือ กลุ่มที่ผลการดำเนินงานเติบโตสูงกว่าค่าเฉลี่ย ได้แก่ กลุ่มค้าปลีก กลุ่มการแพทย์ กลุ่มขนส่ง และ กลุ่มที่ราคาลดลงจากการที่อัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ในขณะที่ปัจจัยพื้นฐานยังคงแข็งแกร่ง ได้แก่ ธุรกิจโรงไฟฟ้า และ REIT/IFF
7.ระมัดระวังธุรกิจที่พึ่งพาการส่งออกและอาจได้รับผลกระทบจากสภาวะอากาศที่แปรปรวนในปีหน้า
ส่วนหุ้นที่มีคุณภาพโดดเด่นจากมุมมองของ InnovestX ในไตรมาส 1/2024 ที่มีฐานะการเงินแข็งแรง ผลประกอบการมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องอย่างชัดเจน ที่ให้ผลตอบแทนและเป็นบริษัทที่มีกําไรเติบโตสูงกว่าตลาด อีกทั้งมีโมเมนตัมเชิงบวกจากผลประกอบการที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง และเป็นบริษัทที่ได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศและการเติมสินค้าคงคลังของจีน ได้แก่ คือ BBL(GDP เติบโต, กําไรเติบโตแข็งแกร่ง), CPALL (การดําเนินงานแข็งแกร่ง, Laggard play, มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ), GULF (Yield play, การเติบโตของธุรกิจใหม่), KCE (แรงกดดันด้านต้นทุนลดลง, อุปสงค์ฟื้นตัว, การเติมสินค้าคงคลังของจีน) และ SCC (รายได้เติบโตต่อเนื่อง, ผลกระทบของฐานต่ำ, กําไรทําจุดต่ำสุดแล้ว, แรงกดดันด้านต้นทุนลดลง)
ข่าวเด่น