SET ฟื้นตัวจากแนวรับ 1370 จุด แต่สัญญาณโดยรวมยังดูอ่อนแรง ดังนั้น ยังมีความเสี่ยงต่อการปรับลงได้ต่อ โดยหากต่ำกว่า 1370 จุด คาดว่าดัชนีมีโอกาสหลุด 1366 จุด หรือทำจุดต่ำใหม่อีกครั้ง โดยมีแนวรับถัดไปที่ 1360 จุด ด้านกรอบบนถูกจำกัดที่แนวต้าน 1392 จุด หากขึ้นทะลุผ่านได้ จะเป็นสัญญาณที่ดี
ประเด็นสำคัญ
• ดัชนี PCE ทั่วไป ต.ค. ของสหรัฐเพิ่มขึ้น 3.0%YoY ส่วนดัชนี PCE พื้นฐาน ต.ค. เพิ่มขึ้น 3.5%YoY ชะลอตัวลงจาก ก.ย. ซึ่งทำให้ตลาดคาด Fed จะยุติวงจรการปรับขึ้น ดบ.
• ดัชนี PMI ภาคการผลิต พ.ย. ของจีนหดตัวลงเป็นเดือนที่ 2 และต่ำกว่าคาด ส่งสัญญาณว่า ศก. จีนยังไม่พ้นวิกฤตและอาจทำให้รัฐบาลจีนต้องใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม
• OPEC+ มีมติปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันโดยสมัครใจในปริมาณ 2 ล้านบาร์เรล/วันใน 1Q67 ขณะที่บราซิลจะเป็นสมาชิกรายใหม่ของ OPEC+ เริ่มตั้งแต่ ม.ค. 2567
• นายกฯ เตรียมเรียกประชุมค่าไฟฟ้างวด ม.ค.-เม.ย. 67 โดยยอมรับว่าจำเป็นต้องปรับขึ้นแต่ไม่ถึง 4.68 บ./หน่วย สอดคล้องกับ ก. พลังงานระบุว่าปรับขึ้นมากสุดไม่เกิน 4.20 บ./หน่วย
• ธปท. ระบุ ศก. ไทย ต.ค. 66 อยู่ในทิศทางฟื้นตัวตามการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนที่ปรับตัวดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ภาคบริการชะลอลงตามจำนวน นทท. ไทยและต่างชาติ ขณะที่มูลค่าการส่งออกสินค้าไม่รวมทองคำลดลงหลังเร่งไปมากในเดือนก่อน
• สศอ. ปรับลดประมาณการ MPI ปี 2566 คาดจะหดตัว 4.8% จากเดิมคาดจะหดตัว 4-4.5% ขณะที่ GDP ภาคอุตสาหกรรมคาดจะหดตัว 3% จากเดิมคาดไว้หดตัว 2.5-3% ส่วนดัชนี MPI และ GDP ภาคอุตสาหกรรมปี 2567 คาดจะขยายตัว 2-3%
กลยุทธ์การลงทุน
เรามองช่วงสั้น SET จะเคลื่อนไหวผันผวนในกรอบ หลังขาดปัจจัยหนุนใหม่ โดยล่าสุดการประชุมนโยบายการเงินของ กนง. มีมติคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 2.50% ตามคาด ขณะที่คาดจะเริ่มมีเม็ดเงินลงทุนในกองทุน TESG ทยอยเข้ามาหลัง บลจ. เริ่มขายตั้งแต่ 1 ธ.ค. นี้ ซึ่งจะช่วยสร้างเสถียรภาพให้แก่ตลาดหุ้นไทย กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy”
ล็อคเป้าลงทุน
Weekly Portfolio : ช่วงสั้นมอง SET เคลื่อนไหวผันผวนในกรอบ หลังไร้ปัจจัยหนุนใหม่เข้ามาช่วยกระตุ้นบรรยากาศลงทุน ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ในธีมที่มีปัจจัยเฉพาะตัว ดังนี้
1) หุ้น Big Cap. (SET50) ที่คาดเป็นเป้าหมายการลงทุนจากแผนจัดตั้งกองทุน TESG เพื่อกระตุ้นการลงทุนใน ตลท. ระยะยาว ซึ่งเราได้คัดเลือกหุ้นที่อยู่ในดัชนี SETESG ที่มีคุณสมบัติน่าสนใจ ดังนี้ (I) ได้ ESG Rating “AAA” หรือ “AA” และ (II) ราคาหุ้นปรับตัวลงแรงกว่า SET YTD เลือก SCGP OR CPALL BEM GULF CRC HMPRO
2) หุ้น Big Cap. (SET50) ที่คาดเป็นเป้าหมายการลงทุนจากแผนจัดตั้งกองทุน TESG เพื่อกระตุ้นการลงทุนใน ตลท. ระยะยาว ซึ่งคัดเลือกหุ้นที่อยู่ในดัชนี SETESG ที่ได้ ESG Rating “AAA” และราคาหุ้นปรับขึ้นดีกว่า SET YTD อีกทั้งผลการดำเนินงานยังแข็งแกร่ง และคาดให้ Div. Yield มากกว่า 5% ต่อปี เลือก PTT KTB
ช่วงสั้นแนะนำระมัดระวังหุ้นที่คาดได้รับผลกระทบอย่างมีนัยจากแผนปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำของรัฐบาลซึ่งจะมีการประชุม ครม. 12 ธ.ค. นี้ ได้แก่ กลุ่มขนส่งพัสดุ (KEX) กลุ่มอาหาร (CPF ZEN GFPT TU AU) กลุ่มอสังหาฯ (LPN PSH SPALI SIRI QH AP) และกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ (HANA KCE) ขณะที่ระยะกลางแนะนำระมัดระวังหุ้นที่คาดได้รับผลกระทบจากภาวะเอลนีโญที่จะกระทบต่อกำลังซื้อภาคเกษตรลดลง ได้แก่ กลุ่มสินเชื่อ (MTC SAWAD) กลุ่มยานยนต์ (SAT STANLY) กลุ่มเครื่องดื่ม (CBG จากราคาน้ำตาลที่สูงขึ้น) รวมถึงกลุ่มเกษตรและอาหาร (CPF GFPT BTG)
DAILY TOP PICKS
HMPRO มองเป็นหุ้นใน SETESG Index ที่น่าสนใจ โดยได้ Rating “AA” ขณะที่ 4Q66 คาดเป็นไตรมาสดีสุดของปี และปี 2567 คาดได้ประโยชน์หลักจากโครงการ E-refund เพราะมียอดใช้จ่ายต่อบิลที่สูงกว่า บ. อื่นในกลุ่มพาณิชย์ คาดราคาหุ้นปัจจุบันยังไม่สะท้อนประโยชน์จากโครงการ E-refund
BDMS มองเป็นหุ้นใน SETESG Index ที่น่าสนใจ โดยได้ Rating “AA” ขณะที่ 4Q66 คาดกำไรปกติโต YoY ส่วนทั้งปี 2566 กำไรปกติโต 12%YoY และโต 8%YoY ในปี 2567 จากบริการผู้ป่วยต่างชาติที่เติบโตมากขึ้น รายได้จากศูนย์ความเป็นเลิศที่เพิ่มขึ้น และการใช้ประโยชน์สินทรัพย์ได้ดีขึ้น
ข่าวเด่น