SET ฟื้นตัวเด่นเมื่อวาน ขณะที่วันนี้คาดมีอัตราเร่งลดลง และมีแนวต้านสำคัญบริเวณ 1400 จุด ต้องขึ้นทะลุผ่านให้ได้ก่อน เพื่อพลิกสัญญาณเทคนิคให้เป็นบวก มิฉะนั้น ในภาพรวมยังเป็นลบ และเป็นเพียงการดีดสลับ เพื่อปรับลงต่อ ด้านแนวรับระยะสั้นอยู่ที่ 1370 และ 1360 จุด ตามลำดับ หากต่ำกว่า จะเป็นสัญญาณลบ
ประเด็นสำคัญ
• ECB และ BoE มีมติคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 4.5% และ 5.25% ตามคลาดคาด แต่ยังคงมุมมองนโยบายการเงินที่ตึงตัวต่อไปในปี 2567 ซึ่งต่างจากตลาดคาดว่า ECB มีโอกาสลดดอกเบี้ยในช่วง 1H67
• ยอดค้าปลีก พ.ย. ของสหรัฐ +0.3%MoM, +4.1%YoY สวนทางที่คาด -0.1%MoM ขณะที่ผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกสัปดาห์ที่แล้วลดลงสู่ 2.02 แสนราย ต่ำสุดนับตั้งแต่ ต.ค. และต่ำกว่าคาด
• สัญญาน้ำมันดิบ Brent +3.2%DoD อยู่ที่ 76.61 เหรียญ/บาร์เรล หลัง IEA คาดอุปสงค์น้ำมันตลาดโลกจะเพิ่มขึ้น 1.1 ล้านบาร์เรล/วันในปีหน้า โดยเพิ่มอีก 1.3 แสนบาร์เรล/วันจากคาดครั้งก่อนหน้า
• BOI ระบุ นายกฯ เยือนญี่ปุ่น เข้าร่วมสัมมนาการค้า ดึงการลงทุน ใน 5 อุตสาหกรรม หารือกับ 7 ผู้ผลิตยานยนต์ขนาดใหญ่ และ 40 นักธุรกิจรายใหญ่เพื่อชักชวนลงทุนในโปรเจกต์แลนด์บริดจ์
• กรมสรรพสามิต แนะใช้กลไกภาคบังคับช่วยลดโลกร้อน พร้อมใช้มาตรการภาษีสนับสนุน ศึกษาภาษีปล่อยคาร์บอน ด้าน ตลท. ตั้งเป้า บจ. เปิดเผยข้อมูลปล่อยก๊าซคาร์บอน เพิ่มความโปร่งใส
• ก. คลังสั่ง ก.ล.ต. พิจารณาศึกษายกเลิกโปรแกรมเทรดดิ้ง หากพบกระทบตลาดหุ้น อีกทั้งระบุดัชนีหุ้นไทยอยู่ในภาวะตกต่ำเป็นปัจจัยเฉพาะภายใน โดยยืนยันเสถียรภาพ ศก. ยังแข็งแกร่ง
• SCB EIC ประเมิน ศก. ไทยเปราะบางจากภาคธุรกิจที่ฟื้นตัวไม่ทั่วถึง รวมทั้งภาคครัวเรือนรายได้น้อยและธุรกิจขนาดเล็กยังมีหนี้สูง แต่รายได้เติบโตช้า อีกทั้งปัจจัยภายนอก-ภายใน ปท. ที่ยังต้องจับตารวมทั้งนโยบายรัฐบาลที่มีความไม่แน่นอนสูง
กลยุทธ์การลงทุน
เรามองช่วงสั้นตลาดหุ้นโลกมีโอกาสปรับตัวขึ้น จากมุมมอง Fed ที่ Dovish มากขึ้น (ดอกเบี้ยผ่านจุดสูงสุด และ Dot Plot บ่งชี้ดอกเบี้ยจะลดลง 75 bps มากกว่ารอบก่อนที่ 50 bps ขณะที่ประเมินเศรษฐกิจสหรัฐจะเติบโต 1.4% ในปี 2567) ซึ่งจะส่งผลบวกมายังตลาดหุ้นไทย อีกทั้งตลาดหุ้นไทยมีโอกาสได้รับเม็ดเงินลงทุนจากกองทุน TESG และ RMF ที่กำลังจะทยอยเข้ามาในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2566
ล็อคเป้าลงทุน
Weekly Portfolio : SET อยู่ในบรรยากาศที่เน้นเลือกลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยเฉพาะตัว และมีโอกาสได้รับเม็ดเงินลงทุนในกองทุน TESG ที่กำลังจะทยอยเข้ามาในเดือน ธ.ค. นี้เป็นหลัก กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ดังนี้
1) หุ้น Big Cap. (SET50) ที่คาดเป็นเป้าหมายการลงทุนจากแผนจัดตั้งกองทุน TESG ซึ่งเราได้คัดเลือกหุ้นที่อยู่ในดัชนี SETESG ที่มีคุณสมบัติน่าสนใจ ดังนี้ (I) ได้ ESG Rating “AAA” หรือ “AA” และ (II) ราคาหุ้นปรับตัวลงแรงกว่า SET YTD เลือก SCGP OR CPALL BEM GULF CRC HMPRO ขณะที่หุ้น ESG Rating “A” ซึ่งราคาหุ้นปรับตัวลงแรงมากในช่วงที่ผ่านมา แนะนำ AOT
2) หุ้น Big Cap. (SET50) ที่คาดเป็นเป้าหมายการลงทุนจากแผนจัดตั้งกองทุน TESG ซึ่งคัดเลือกหุ้นที่อยู่ในดัชนี SETESG ที่ได้ ESG Rating “AAA” และราคาหุ้นปรับขึ้นดีกว่า SET YTD อีกทั้งผลการดำเนินงานยังแข็งแกร่ง และคาดให้ Div. Yield มากกว่า 5% ต่อปี เลือก PTT KTB
3) นักลงทุนระยะยาวแนะนำเริ่มลงทุนแบบ Dollar-Cost-Average (DCA) เนื่องจากมองเป็นจังหวะที่ดีที่สุด หลัง SET ปรับลงแรงจนความเสี่ยงลดลงไปมากและราคาหุ้นอยู่ในระดับ Undervalue มาก โดยเลือก BBL BDMS BEM CPALL PTT และ SCC ซึ่งเป็นหุ้น SET100 ซึ่งเป็นผู้นำในแต่ละอุตสาหกรรม และมี ESG Rating ระดับ AAA/AA, Valuation ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในรอบ 10 ปี และผลการดำเนินงานเติบโตต่อเนื่อง
ช่วงสั้นแนะนำระมัดระวังหุ้นที่คาดได้รับผลกระทบอย่างมีนัยจากแผนปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำซึ่งคาดจะมีการเสนอ ครม. พิจารณาภายในวันท่ 25 ธ.ค. นี้ ได้แก่ กลุ่มขนส่งพัสดุ (KEX) กลุ่มอาหาร (CPF ZEN GFPT TU) กลุ่มอสังหาฯ (LPN PSH) และกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ (HANA) ขณะที่ระยะกลางแนะนำระมัดระวังหุ้นที่คาดได้รับผลกระทบจากภาวะเอลนีโญที่จะกระทบต่อกำลังซื้อภาคเกษตรลดลง ได้แก่ กลุ่มสินเชื่อ (MTC SAWAD) กลุ่มยานยนต์ (SAT STANLY) กลุ่มเครื่องดื่ม (CBG จากราคาน้ำตาลที่สูงขึ้น) รวมถึงกลุ่มเกษตรและอาหาร (CPF GFPT BTG)
Special Report : ติดตามอ่าน Yearbook 2024 ซึ่งมาด้วยแนวคิด “A Year of Value Investing” เพื่อสื่อว่าตลาดหุ้นไทยขณะนี้มีหุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าอยู่มาก เป็นโอกาสดีสำหรับนักลงทุนระยะยาว พร้อม 10 หุ้น Top Picks 2024 ที่คัดสรรมาให้
DAILY TOP PICKS
BCP ได้ ESG Rating “AAA” คาดกำไรจากการดำเนินงาน 4Q66 เพิ่มขึ้น QoQ หลังรวมผลการดำเนินงานของ BSRC เข้ามาเต็มไตรมาส และปริมาณน้ำมันดิบนำเข้ากลั่นสูงขึ้นหลังหยุดซ่อมบำรุงตามแผนใน 3Q66 อีกทั้ง Valuation ยังไม่แพงด้วย PBV 0.7 เท่า ต่ำกว่า -1SD รอบ 10 ปี
AP ได้ ESG Rating “AA” คาดกำไรสุทธิปีนี้เติบโต 6.2% YoY เป็น 6.24 พันลบ. ทำจุดสูงสุดใหม่ คาดกำไร 4Q66 เพิ่มขึ้น YoY และเพิ่มขึ้นเล็กน้อย QoQ จากการโอน backlog โครงการ Aspire ปิ่นเกล้า-อรุณอมรินทร์ และ The Address สยาม-ราชเทวี อีกทั้งคาดหวัง Div. Yield ปีนี้ได้ที่ 6%
ข่าวเด่น