ยานยนต์
Scoop : ส่องตลาดรถยนต์ EV ในไทย ตอนนี้สะดวกแค่ไหน ควรเปลี่ยนมาใช้เลยดีไหม


ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV นับว่ามีทิศทางการเติบโตแบบก้าวกระโดด และยังเป็นการเติบโตสวนทางกับยอดขายรถยนต์สันดาปที่มีการชะลอตัวลงไป ซึ่งก็ตรงกับความจริงผ่านสายตาของทุกคน ที่เราต่างพบเห็นรถยนต์ EV โลดแล่นอยู่บนท้องถนนมากขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงการผุดขึ้นของโชว์รูม-ศูนย์บริการของรถยนต์ EV หลากหลายแบรนด์ และสถานีชาร์จรถไฟฟ้าก็เริ่มมีการขยายตัวมากขึ้นอีกด้วย ทำให้ใครหลายๆคนอาจกำลังชั่งน้ำหนักกันอยู่ว่า ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่เราควรจะเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ EV แทนการใช้รถยนต์เติมน้ำมันแบบเดิม
 
และด้วยความที่ทั่วโลกได้เผชิญกับผลกระทบของสภาวะเงินเฟ้อ ที่มีผลมาจากความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครนช่วงปีที่แล้ว ซึ่งเป็นสงครามพลังงานที่ดันราคาสินค้าอุปโภคบริโภค โดยเฉพาะค่าน้ำมันรถที่แพงขึ้นมาก ไม่เพียงเท่านี้ เหตุการณ์สงครามอิสราเอล-ฮามาส ที่มีความเสี่ยงลุกลามกลายเป็นสงครามทั้งพื้นที่ตะวันออกกลาง โดยมีประเทศซาอุดีอาระเบีย เป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่อันดับ 2 ของโลกอยู่ในภูมิภาคดังกล่าว ก็ยิ่งตอกย้ำความอ่อนไหวของราคาน้ำมันที่ผันแปรตามความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ ทำให้เริ่มมีกลุ่มคนที่เบนเข็มมาเลือกซื้อรถยนต์ EV กันเพิ่มมากขึ้น
 
หากอ้างอิงตามข้อมูลทางสถิติ จะพบว่าความนิยมของการใช้รถยนต์ EV มีทิศทางการเติบโตแซงหน้ารถยนต์สันดาปมากขึ้นตั้งแต่ช่วงปี 2018 เป็นต้นมา และแม้ตลาดรถยนต์ทั่วโลกจะเกิดการหดตัวในปี 2020 เนื่องมาจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่ข้อมูลจาก KKP Research โดยเกียรตินาคินภัทร ออกมาเปิดเผยว่า ตลาดรถยนต์แบบ EV นั้นมีทิศทางการเติบโตแบบก้าวกระโดด สวนทางกับยอดขายรถที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์สันดาปที่ชะลอตัวลง โดยยอดขายรถยนต์ EV ทั่วโลก ทั้งแบบไฟฟ้า 100% และรถยนต์ที่ใช้พลังงานแบบปลั๊กอินไฮบริด ทะลุ 2 ล้านคัน เป็นครั้งแรกในปี 2018 เพิ่มขึ้นเป็น 2.3 ล้านคันในปี 2019 และยอดขายทะยานขึ้นเป็น 3.2 ล้านคันในปี 2020 คิดเป็นการขยายตัวถึง 43% สวนทางตลาดรถยนต์โดยรวมที่หดตัวเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน
 
โดยในตลาดยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีอัตราการเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะในประเทศไทยและอินโดนีเซีย จากในปี 2565 สัดส่วนยอดขายของรถยนต์ไฟฟ้าประเทศไทย อยู่ที่ประมาณ 3% จากยอดขายรถยนต์ทั้งหมด ในขณะที่อินโดนีเซียมียอดขายเฉลี่ยอยู่ที่ 1.5% เรียกได้ว่าตอนนี้ ไทยเป็นประเทศที่ตลาดรถยนต์ EV เติบโตมากที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และทางรัฐบาลไทยก็มีการผลักดันและส่งเสริมรถยนต์ EV อย่างมาก โดยอออกนโยบายที่มุ่งเน้นการดึงดูดผู้ผลิตระดับโลกและกระตุ้นการผลิตในประเทศเป็นหลัก เพื่อสร้างมูลค่าเศรษฐกิจในตลาดใหม่ ที่ตั้งใจจะวางให้ไทยเป็นจุดหมายด้านการลงทุนอุตสาหกรรมไฮเทคจากต่างประเทศที่สำคัญของเอเชีย
 
โดยในตอนนี้ ผู้ผลิตรถยนต์ EV ชั้นนำของจีนได้เข้ามาลงทุนในประเทศไทยเรียบร้อยแล้ว เช่น “บีวายดี” (BYD) ตั้งโรงงานผลิตรถไฟฟ้าที่นิคมอุตสาหกรรม WHA จ.ระยอง เรียบร้อย รวมถึง “ฉางอาน ออโต้” ค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่สัญชาติจีนก็ตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในไทย ที่นิคมอุตสาหกรรมเดียวกัน ซึ่งรวมแล้วมีมูลค่าการลงทุนกว่า 1.44 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แสดงถึงความเชื่อมั่นว่า โครงสร้างพื้นฐาน ความสามารถของตลาด รวมถึงนโยบายเชิงรุกในการส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของไทยนั้นมีศักยภาพ จนบริษัทรถยนต์ EV รายใหญ่ตัดสินใจลงทุน ตั้งโรงงานในไทยเพื่อส่งออกทั่วโลก
 
ดีลใหญ่ดังกล่าวนี้ทำให้สามารถคาดการณ์ได้ว่า ประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะกลายเป็นศูนย์กลางการผลิรถยนต์ EV ที่สำคัญในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นหนึ่งในศูนย์กลางยานยนต์ไฟฟ้าสำคัญของโลกได้ อีกทั้งสิ่งที่ตามมาก็คือ การตั้งโรงงานที่นิคมอุตสาหกรรมในประเทศ จะทำให้มีรถยนต์ EV ป้อนเข้าสู่ตลาดยานยนต์ในไทยมากขึ้น ซึ่งเมื่อตลาดเติบโตก็เป็นการส่งเสริมให้พัฒนาระบบนิเวศของยานยนต์ไฟฟ้าอย่างครบวงจรไปในตัว ที่เราอาจจะเห็นทั้งการเพิ่มสถานีชาร์จที่ครอบคลุมกว่าเดิม หรือการแข่งขันทางการตลาดของแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้า ที่เชิญชวนให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อ เช่น การที่แบรนด์ดึง Partner เข้ามามีส่วนร่วมเพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้ามากขึ้น (อย่างที่คนขับรถ Tesla สามารถชาร์จไฟที่จุดจอดรถของห้าง CentralWorld ได้ฟรี)
 
ส่วนการตัดสินใจที่ว่า “ตอนนี้” เราควรเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ EV หรือยัง พิจารณาจากข้อมูลที่ได้กล่าวไปตอนต้น เราจะเห็นว่ามันยังคงเป็นช่วง “การเติบโต” คือมีคนเริ่มใช้รถยนต์ EV กันมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ถ้าเทียบกันในท้องถนน รถยนต์สันดาป ยังมีสัดส่วนที่มากกว่าในปัจจุบัน อีกทั้งปั๊มน้ำมัน อู่ซ่อมรถก็ครอบคลุมทั่วประเทศไทย ส่วนระบบนิเวศของรถยนต์  EV เนื่องจากเป็นตลาดใหม่ ทั้งสถานีชาร์จ หรือเรื่องของการซ่อมแซม จึงเป็นลักษณะ “ที่กำลังพัฒนา” แปรผันตามการขยายตัวของตลาด สอดคล้องกับมุมมองของ”บริษัทกรุงเทพประกันภัย” ที่ได้ให้ข้อมูลว่า ภายในปีนี้คาดว่าจะมียอดจดทะเบียนรถยนต์ EV ในไทยอยู่ที่ประมาณ 100,000 คัน  เติบโตจากปี 2565 ที่ 10,000 คัน ซึ่งเติบโตขึ้น 10 เท่าตัวเลยทีเดียว แต่อย่างไรก็ตาม การมาของรถยนต์ EV ในมุมมองของบริษัทประกันภัย ยังมีปัจจัยกดดัน คือ Loss Ratio (อัตราความเสียหายที่ต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทน) จากชิ้นส่วนของแบตเตอรี่ ที่มีมูลค่าคิดเป็นประมาณ 60% ของรถยนต์ทั้งคัน และการซ่อมรถยนต์ประเภทนี้ ส่วนใหญ่ต้องเป็นการเปลี่ยนชิ้นส่วนอะไหล่ หากเป็นการซ่อมก็มีความเสี่ยงด้านระบบความปลอดภัย ประกอบกับในไทยยังไม่มีอู่ซ่อมที่มีความชำนาญในรถยนต์ EV หากเกิดปัญหาต้องส่งซ่อมที่ศูนย์บริการอย่างเดียว
 
ประกอบกับ Adoption Rate ของตลาดรถยนต์ EV โลกในปัจจุบันอยู่ในระดับ 14% ซึ่งอยู่ในเฟส Early Adoption ในขณะที่ตลาดยุโรปและจีนได้เข้าสู่เฟส Early Majority มาตั้งแต่ปี 2021 แล้ว ซึ่งอ้างอิงตามทฤษฎีการที่บุคคลจะยอมรับนวัตกรรมใหม่ๆ ได้มากน้อยแค่ไหน สามารถแบ่งออกเป็น 1.Innovators ผู้บุกเบิก ชอบลองของใหม่เป็นคนแรกๆ รับความเสี่ยงได้ คิดเป็น 2.5% ของประชากรทั้งหมด (เช่น IPhone รุ่นใหม่ออก กลุ่มคนประเภทนี้จะต่อคิวซื้อวันแรก) 2. Early Adoptors เป็นกลุ่มที่นำเทรนด์และนวัตกรรม ภายหลังจากกลุ่มแรก ซึ่งตลาดรถยนต์ EV ในไทยอยู่ในเฟสนี้ 3. Early Majority เป็นกลุ่มผู้บริโภคที่มีจำนวนมากที่สุด โดยจะซื้อสินค้านวัตกรรมเมื่อสินค้าเป็นที่รู้จักแล้ว พิจารณาความคุ้มค่าและมั่นใจแล้วว่าสินค้ามีเทคโนโลยีที่มีความสำเร็จจริงๆ 4.Late Majority กลุ่มที่ตามกระแสและใช้สินค้าต่อเมื่อมีคนใช้มากในจำนวนหนึ่ง และ 5. Laggards (ผู้ล้าหลัง) ที่จะซื้อสินค้าเมื่อเทคโนโลยีตกรุ่นไปแล้ว
 
ฉะนั้นในคำถามที่ว่าเราควรจะเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ EV ตอนนี้กันเลยไหม ก็ต้องขึ้นอยู่กับปัจเจกบุคคลในแง่ของการยอมรับนวัตกรรม ซึ่งในตอนนี้รถยนต์ EV อยู่ในช่วงของตลาดเกิดใหม่ ที่ยังต้องมีการพัฒนาทั้งทางด้านเทคโนโลยี และความสามารถของแรงงานในไทยให้มากขึ้น หากเราไม่ใช่กลุ่มคนที่สามารถรับความเสี่ยงที่ยังมีอยู่ตามปกติของสินค้าที่เป็นเทคโนโลยีใหม่ ก็อาจจะต้องรอดูการพัฒนา หรือรอให้ตลาดรถยนต์ EV มีการขยายตัวให้ใหญ่ขึ้น จนถึงช่วง Early Majority ที่คนส่วนใหญ่มั่นใจที่จะใช้แล้ว หรือให้ถึงช่วง Late Majority ก็ย่อมได้ ซึ่งเราก็คงต้องจับตาดูตามว่าเทคโนโลยีและสาธารณูปโภคบ้านเราจะพัฒนาได้รวดเร็วหรือไม่

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 17 ธ.ค. 2566 เวลา : 19:15:10
24-11-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 24, 2024, 6:33 am