คาด SET มีโอกาสขึ้นทดสอบบริเวณ 1400 จุด ด้วยแรงหนุนจากกลุ่มพลังงาน หลังราคาน้ำมันปรับตัวขึ้น โดยแนวโน้มดัชนี หากขึ้นทะลุผ่านได้ เป็นสัญญาณบวกต่อ โดยมีแนวต้านถัดไปที่ 1410 จุด ด้านแนวรับอยู่ที่ 1390 และ 1380 จุด ตามลำดับ เป็นจุดรองรับ ส่วนภาพรวม หากไม่ต่ำกว่า 1366 จุด มองดัชนียังอยู่ในทางขึ้นได้ต่อ
ประเด็นสำคัญ
• BoJ คง ดบ. นโยบายที่ -0.1% และคงมาตรการ Yield Curve Control กรอบบนที่ 1.0% ด้านผู้ว่า BoJ ยังคงท่าทีนโยบายการเงินผ่อนคลายต่อเนื่อง ส่งผลเงินเยนอ่อนค่าเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ
• ตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้าน พ.ย. ของสหรัฐเพิ่มขึ้น 14.8% สู่ 1.56 ล้านยูนิต สูงสุดในรอบ 6 เดือน หนุนความเชื่อมั่น ศก. สหรัฐมีแนวโน้มชะลอตัวลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป หรือ Soft Landing
• ดัชนี CPI พ.ย. ของยูโรโซน +2.4% YoY ลดลงจาก ต.ค. ที่ +2.9% YoY ส่วน CPI พื้นฐาน +3.6% YoY ลดลงจาก ต.ค. ที่ +4.2% YoY
• ครม. มีมติเห็นชอบตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่เกิน 30 บ./ลิตร แล LPG ไม่เกิน 423 บ./ถัง 15 กก. จนถึง มี.ค. 67 และเห็นชอบให้ตรึงค่าไฟฟ้าไว้ที่ 3.99 บ./หน่วยสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วย ส่วนที่ใช้เกิน 300 หน่วยจะประกาศอีกครั้ง 1 ม.ค. 2567 แต่จะไม่เกิน 4.20 บ. (จาก 4.68 บ. ตามมติ กกพ.) ขึ้นกับราคาก๊าซฯในตลาดโลก
• ครม. เห็นชอบวงเงินสนับสนุน EV รวม 4.1 หมื่นลบ. ด้าน BOI คาดหนุนอุปสงค์ EV ไทยต่อเนื่อง ส่วน ส.อ.ท. คาดหนุนผู้ประกอบการรายใหม่ ประเมินจุดคุ้มทุนการผลิตที่ 1 แสนคัน/ปี
• กสทช. จัดแถลงข่าวมาตรการเยียวยาผู้บริโภคเรื่องค่าบริการ คุณภาพสัญญาณ และแพ็กเกจฯ หลังการรวม TRUE-DTAC
• LWS ระบุผลสำรวจอสังหาริมทรัพย์ไทยปีนี้เปิดตัวใหม่ติดลบ 5-8% แต่ราคาสูงขึ้น 15% คาดหน้าผู้ซื้อผู้ขายยังมี 4 ปัจจัยเสี่ยงจากดอกเบี้ย-ค่าแรง-ต้นทุนเพิ่มขึ้น รวมทั้งการกู้ไม่ผ่านอาจเกิน 65%
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นตลาดหุ้นโลกมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้บ้าง จากมุมมอง Fed ที่ Dovish มากขึ้น (ดอกเบี้ยผ่านจุดสูงสุด และ Dot Plot บ่งชี้ดอกเบี้ยจะลดลง 75 bps มากกว่ารอบก่อนที่ 50 bps ขณะที่ประเมินเศรษฐกิจสหรัฐจะเติบโต 1.4% ในปี 2567) และอาจเริ่มเห็นการเปลี่ยนกลุ่มไปยังกลุ่มที่ยังปรับตัวขึ้นช้ากว่า ซึ่งอาจจะส่งผลบวกมายังตลาดหุ้นไทย อีกทั้งตลาดหุ้นไทยมีโอกาสได้รับเม็ดเงินลงทุนจากกองทุน TESG และ RMF ที่กำลังจะทยอยเข้ามาในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2566
ล็อคเป้าลงทุน
Weekly Portfolio : SET อยู่ในบรรยากาศที่เน้นเลือกลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยเฉพาะตัว และมีโอกาสได้รับเม็ดเงินลงทุนในกองทุน TESG ที่กำลังจะทยอยเข้ามาในเดือน ธ.ค. นี้เป็นหลัก กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ดังนี้
1) หุ้น Big Cap. (SET50) ที่คาดเป็นเป้าหมายการลงทุนจากแผนจัดตั้งกองทุน TESG ซึ่งเราได้คัดเลือกหุ้นที่อยู่ในดัชนี SETESG ที่มีคุณสมบัติน่าสนใจ ดังนี้ (I) ได้ ESG Rating ตั้งแต่ “A”-“AAA” และราคาหุ้นปรับตัวลงแรงกว่า SET YTD เลือก OR HMPRO AOT หรือ (II) ได้ ESG Rating “AAA” และราคาหุ้นปรับขึ้นดีกว่า SET YTD อีกทั้งผลดำเนินงานแข็งแกร่ง และคาดให้ Div. Yield สูงกว่าปีละ 5% เลือก PTT KTB
2) นักลงทุนระยะยาวแนะนำลงทุนแบบ Dollar-Cost-Average (DCA) หลัง SET ปรับลงจนความเสี่ยงลดลงไปมากและราคาหุ้นอยู่ในระดับ Undervalue มาก โดยเลือก BBL BDMS BEM CPALL PTT และ SCC ซึ่งเป็นหุ้น SET100 ซึ่งเป็นผู้นำในแต่ละอุตสาหกรรม และมี ESG Rating ระดับ AAA/AA, Valuation ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในรอบ 10 ปี และผลการดำเนินงานเติบโตต่อเนื่อง
3) 10 Top Picks in Yearbook 2024 ซึ่งเน้นหุ้นที่คาดเติบโตได้ดี อีกทั้งหวังได้อานิสงส์บวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนใหม่ ได้แก่ AMATA BBL BEM BDMS CPALL CRC GULF OR SCC SCGP
ช่วงสั้นแนะนำระมัดระวังหุ้นที่คาดได้รับผลกระทบอย่างมีนัยจากแผนปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำซึ่งคาดจะมีการเสนอ ครม. พิจารณาภายในวันท่ 25 ธ.ค. นี้ ได้แก่ กลุ่มขนส่งพัสดุ (KEX) กลุ่มอาหาร (CPF ZEN GFPT TU) กลุ่มอสังหาฯ (LPN PSH) และกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ (HANA) ขณะที่ระยะกลางแนะนำระมัดระวังหุ้นที่คาดได้รับผลกระทบจากภาวะเอลนีโญที่จะกระทบต่อกำลังซื้อภาคเกษตรลดลง ได้แก่ กลุ่มสินเชื่อ (MTC SAWAD) กลุ่มยานยนต์ (SAT STANLY) กลุ่มเครื่องดื่ม (CBG จากราคาน้ำตาลที่สูงขึ้น) รวมถึงกลุ่มเกษตรและอาหาร (CPF GFPT BTG)
Special Report : 1) Yearbook 2024 ซึ่งมาด้วยแนวคิด “A Year of Value Investing” เพื่อสื่อว่าตลาดหุ้นไทยขณะนี้มีหุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าอยู่มาก เป็นโอกาสดีสำหรับนักลงทุนระยะยาว พร้อม 10 หุ้น Top Picks 2024 ที่คัดสรรมาให้
2) หุ้นน่าสนใจช่วงผลตอบแทนพันธบัตรลดลง กลุ่ม Long Duration - พาณิชย์ (ต้นทุนทางการเงินลดลง) การแพทย์ (WACC ต่ำลง) และสาธารณูปโภค (ต้นทุนการเงินและ WACC ต่ำลง) และกลุ่มที่มีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของผลตอบแทนพันธบัตร ได้แก่ REIT (ผลตอบแทนปันผลน่าสนใจขึ้น) อสังหาริมทรัพย์ (ต้นทุนทางการเงินลดลง) และ Consumer finance (ต้นทุนทางการเงินลดลง)
DAILY TOP PICKS
GULF เป็นหุ้นใน SETESG Index ที่ได้ Rating “AA” เราคงมุมมองบวกต่อแนวโน้มกำไรที่แข็งแกร่ง คาด 4Q66 กำไรโตต่อจากโรงไฟฟ้า IPP (GPD) อีก 1 หน่วยเริ่มดำเนินการใน ต.ค. และมีกำไรจาก Jackson Generation เพิ่มขึ้น ระยะสั้นได้ผลบวกจาก Div. Yield และต้นทุนก๊าซฯ ที่ลดลง
KCE มองผลการดำเนินงานผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว คาด 4Q66 กำไรฟื้นตัวต่อเนื่อง จากสต๊อกของลูกค้าที่ยังค่อนข้างต่ำทำให้มีคำสั่งซื้อเข้ามาต่อ (คาดรายได้เติบโต 3-4% QoQ แม้เป็น Low Season) ขณะที่ต้นทุนราคาทองแดงอยู่ในระดับต่ำ และได้ประโยชน์จากต้นทุนค่าไฟฟ้าที่ลดลง
ข่าวเด่น