(-) ราคาน้ำมันดิบปรับลดลง หลังนักวิเคราะห์จากบริษัท Macquarie คาดการณ์ว่าอุปทานเกินดุลจะเพิ่มขึ้นในปีหน้า ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ในปีหน้าอยู่ที่ระดับเฉลี่ย 70.50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ลดลงจากค่าเฉลี่ยในปีนี้ที่ 79.64 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
(-) การแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐฯ สูงสุดในรอบ 2 ปี หลังดัชนีดอลลาร์ซึ่งชี้วัดสกุลเงินสหรัฐฯ เทียบกับสกุลเงินอื่นๆ ปรับเพิ่มขึ้น 0.39% แตะระดับ 108.13 ซึ่งทำให้น้ำมันดิบมีราคาแพงขึ้นสำหรับผู้ถือสกุลเงินอื่นและกดดันความต้องการใช้น้ำมันดิบ
(+/-) นักลงทุนยังคงจับตานโยบายด้านพลังงานของสหรัฐฯ หลังเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เรียกร้องให้สหภาพยุโรป (EU) ปรับเพิ่มการนำเข้าน้ำมันดิบและก๊าซของสหรัฐฯ ไม่เช่นนั้นจะเรียกกับเก็บภาษีสินค้าส่งออกของกลุ่มนี้ซึ่งรวมถึงสินค้า เช่น รถยนต์และเครื่องจักร ทั้งนี้มีรายงานว่ากลุ่ม EU พร้อมที่จะหารือเกี่ยวกับการซื้อเชื้อเพลิงเพิ่มเติมจากสหรัฐฯ
(+/-) นอกจากนี้โดนัลด์ ทรัมป์ ยังขู่ที่จะยืนยันการควบคุมคลองปานามาอีกครั้งเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา โดยกล่าวหาว่าปานามาเรียกเก็บเงินในอัตราที่สูงเกินไปสำหรับเพื่อใช้เส้นทางในอเมริกากลาง
ราคาน้ำมันเบนซิน
ราคาน้ำมันเบนซินปรับเพิ่มขึ้นมากกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ หลังตัวเลขการนำเข้าน้ำมันเบนซินของมาเลเซียจากจีน ในเดือน พ.ย. 67 ปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะระดับ 0.15 ล้านตัน ซึ่งสูงที่สุดในรอบ 17 เดือน สะท้อนอุปสงค์ภายในประเทศปรับตัวดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ตัวเลขการนำเข้าของมาเลเซียอาจะชะลอตัวลงในเดือนนี้จากการกลับมาดำเนินการของโรงกลั่นภายในประเทศหลังเสร็จสิ้นการซ่อมบำรุง
ราคาน้ำมันดีเซล
ราคาน้ำมันดีเซลปรับเพิ่มขึ้นมากกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ หลังความต้องการใช้ม้ำมันดีเซลในเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือยังอยู่ในระดับสูง ประกอบกับจีนอาจส่งออกน้ำมันดีเซลลดลงในปี 68 หลังรัฐบาลจีนมีประกาศว่าจะลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการส่งออกน้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซล และเชื้อเพลิงเครื่องบิน จาก13% เหลือเพียง 9% โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 ธ.ค. 67
ข่าวเด่น