SET ปรับขึ้นต่อเนื่อง ตั้งแต่ช่วงกลางเดือน ธ.ค. ที่ผ่านมา และยังไม่ได้พักตัวลดความร้อนแรง ทำให้ยังมองดัชนีในระยะสั้นช่วงนี้มี upside จำกัด โดยมีแนวต้านอยู่ที่ 1420 และ 1425 จุด ตามลำดับ ขณะที่แนวรับระยะสั้นที่เป็นกรอบล่างอยู่ที่ 1407 จุด หากต่ำกว่า จะเริ่มเห็นการพักตัว โดยมีแนวรับถัดไปที่ 1400 จุด
ประเด็นสำคัญ
• สศค. มอง ศก. ไทยปี 67 ขยายตัวได้แต่เผชิญความเสี่ยงสูง ขณะที่ TDRI กังวล ศก. อาจตกอยู่ในภาวะซึมยาว 2-3 ปีข้างหน้า เหตุมาตรการรัฐกระตุ้นระยะสั้น ด้าน EIC กังวลปัจจัยเสี่ยงหลากหลายทำให้ ศก. เติบโตช้า เปราะบาง ไม่แน่นอนมากขึ้น
• ททท. คาดช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2567 บรรยากาศการเดินทางท่องเที่ยวไทยทั้งตลาด ตปท. และตลาดใน ปท. จะคึกคักขึ้นจากปีที่ผ่านมา ก่อให้เกิดรายได้ทางการท่องเที่ยวไทยรวมประมาณ 5.4 หมื่นลบ. เพิ่มขึ้น 44%YoY
• ตลาดกังวลแนวโน้มอุปสงค์น้ำมันชะลอตัว ขณะที่การผลิตน้ำมันที่เพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2566 ทั้งของสหรัฐและ ปท. ที่ไม่ใช่สมาชิก OPEC จะจำกัดการปรับขึ้นของราคาน้ำมันดิบ
• ติดตามความเสียหายของญี่ปุ่นหลังวานนี้เกิดเหตุแผ่นดินไหว 7.6 แมกนิจูดที่ จ. อิชิคาวะ ทางตอนกลางของ ปท. และกรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นประกาศเตือนภัยสึนามิครั้งใหญ่
• ธ. กลางอิสราเอลประกาศลด ดบ. นโยบายลง 0.25% สู่ระดับ 4.50% จากระดับ 4.75% ซึ่งเป็นการปรับลด ดบ. ครั้งแรกในรอบเกือบ 4 ปี เหตุสงครามฉุด ศก. อ่อนแอ
• Maersk ออกแถลงการณ์เมื่อ 31 ธ.ค. ว่ากบฏฮูตีได้ทำการโจมตีเรือบรรทุกสินค้าลำหนึ่งของบริษัทซึ่งมีชื่อว่าเมอส์ก หางโจว ส่งผลให้ทางบริษัทตัดสินใจระงับการเดินเรือผ่านเส้นทางทะเลแดงเป็นเวลา 48 ชั่วโมง
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นมองตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวขึ้นหรือ sideways-up แต่ยังมี upside ที่จำกัดและมีมูลค่าการซื้อขายเบาบาง เนื่องจากยังอยู่ในช่วงเทศกาลเฉลิมฉลองและรอปัจจัยชี้นำใหม่ๆ ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy”
ล็อคเป้าลงทุน
Weekly Portfolio : ช่วงสั้นมอง SET มีโอกาสปรับตัวขึ้นแต่ยังมี upside ที่จำกัดและมีมูลค่าการซื้อขายเบาบาง เนื่องจากยังอยู่ในช่วงเทศกาลเฉลิมฉลองและรอปัจจัยชี้นำใหม่ๆ กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ในหุ้นที่มีโอกาสได้รับผลบวก ดังนี้
1) หุ้น Big Cap. (SET50) ที่คาดเป็นเป้าหมายการลงทุนจากแผนจัดตั้งกองทุน TESG ซึ่งเราได้คัดเลือกหุ้นที่อยู่ในดัชนี SETESG ที่มีคุณสมบัติน่าสนใจ ดังนี้ (I) ได้ ESG Rating ตั้งแต่ “A”-“AAA” และราคาหุ้นปรับตัวลงแรงกว่า SET ในปีที่ผ่านมา เลือก OR AOT หรือ (II) ได้ ESG Rating “AAA” และราคาหุ้นปรับขึ้นดีกว่า SET ในปีที่ผ่านมา อีกทั้งผลดำเนินงานแข็งแกร่ง และคาดให้ Div. Yield สูงกว่าปีละ 5% เลือก PTT KTB
2) หุ้นที่ได้ประโยชน์จากผลตอบแทนพันธบัตรปรับลดลงได้แก่ กลุ่มพาณิชย์ (BJC CPALL CPAXT), การแพทย์ (BDMS BCH), โรงไฟฟ้า (GULF), REIT (DIF), อสังหาฯ (AP) และ Consumer Finance (TIDLOR)
3) หุ้นที่อาจได้แรงหนุนจากการทำ Short Covering มากกว่า 10% ของมูลค่าซื้อขายตั้งแต่เดือน ก.ย. 2566 และเราแนะนำ ซื้อ ได้แก่ ADVANC MINT
4) หุ้นที่ได้ประโยชน์จากโครงการ Easy E-Receipt ลดหย่อนภาษีไม่เกิน 5 หมื่นบาท เริ่มในวันที่ 1 ม.ค. – 15 ก.พ. 2567 ได้แก่ CRC HMPRO
ช่วงสั้นแนะนำระมัดระวังหุ้นที่คาดได้รับผลกระทบลบอย่างมีนัยจากแผนปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำซึ่งคาดจะมีการเสนอ ครม. พิจารณาภายในสัปดาห์นี้ ได้แก่ กลุ่มขนส่งพัสดุ (KEX) กลุ่มอาหาร (CPF ZEN GFPT TU) กลุ่มอสังหาฯ (LPN PSH) และกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ (HANA) ขณะที่ระยะกลางแนะนำระมัดระวังหุ้นที่คาดได้รับผลกระทบจากภาวะเอลนีโญที่จะกระทบต่อกำลังซื้อภาคเกษตรลดลง ได้แก่ กลุ่มสินเชื่อ (MTC SAWAD) กลุ่มยานยนต์ (SAT STANLY) กลุ่มเครื่องดื่ม (CBG จากราคาน้ำตาลที่สูงขึ้น) รวมถึงกลุ่มเกษตรและอาหาร (CPF GFPT BTG)
DAILY TOP PICKS
BBL 4Q66 คาดกำไรโต 64%YoY 10%QoQ จาก NIM เพิ่มขึ้น ECL ลดลง คาดกำไรโตต่อเนื่องในปี 2567 จาก credit cost ที่ลดลง NIM ที่ขยายตัวดี สินเชื่อเติบโตขึ้น อีกทั้งคาดได้รับประโยชน์มากสุดจากการย้ายฐานธุรกิจมายังอาเซียน เป็นหุ้นใน SETESG Index ที่น่าสนใจ โดยได้ Rating “AA”
HMPRO มองเป็นหุ้นใน SETESG Index ที่น่าสนใจ โดยได้ Rating “AA” คาด 4Q66 เป็นไตรมาสที่ดีสุดของปี และปี 2567 คาดจะเป็นผู้ได้ประโยชน์หลักจากโครงการ E-receipt เพราะยอดใช้จ่ายต่อบิลที่สูงกว่า บ. อื่นๆ ในกลุ่มฯ โดยราคาหุ้นปัจจุบันยังไม่ได้สะท้อนประโยชน์จากโครงการดังกล่าว
ข่าวเด่น