SET ในระยะสั้นแข็งแกร่งกว่าคาด โดยไต่ระดับปรับขึ้นต่อ และทำจุดสูงใหม่ในรอบกว่า 2 เดือน ด้านแนวโน้มราคา แม้ยังไม่แสดงสัญญาณอ่อนตัว อย่างไรก็ตาม ยังต้องระวังการพักตัวลดความร้อนแรง โดยมีจุดติดตามกรอบล่าง 1415-1420 จุดหากไม่ต่ำกว่า ยังปรับขึ้นได้ต่อ โดยมีแนวต้านถัดไปที่ 1440 และ 1450 จุด ตามลำดับ
ประเด็นสำคัญ
• ครม. อนุมัติ 2 มาตรการส่งเสริมประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวและการใช้จ่าย โดยลดภาษีสรรพสามิต สุรา ไวน์ สถานบริการ ปรับเกณฑ์คืน VAT นักท่องเที่ยว นอกจากนี้ยังมีมติยกเว้นวีซ่าระหว่างไทย-จีน อย่างถาวร ตั้งแต่ 1 มี.ค. 2567 ด้าน ATTA คาดปีนี้ นทท. จีนเที่ยวไทย 6-7 ล้านคน ตั้งเป้าที่ 8 ล้านคน ส่วน ททท. จับตาจุดเปลี่ยนช่วงเทศกาลตรุษจีน
• ก. ท่องเที่ยวระบุปี 2566 มีจำนวน นทท. ต่างชาติเดินทางเข้าไทย 28 ล้านคน สร้างรายได้ 1.2 ล้านลบ. โดย นทท. ที่เดินทางเข้ามาสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ มาเลเซีย จีน เกาหลีใต้ อินเดีย และรัสเซีย
• ม.หอการค้าไทยคาด GDP ปี 2567 โต 3.2% ยังไม่รวมดิจิทัลวอลเล็ต ส่งออกโต 3% เงินเฟ้อ 2% ส่วนปัจจัยเสี่ยงคือ ศก. โลกชะลอตัว ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ปัญหาโลกร้อน ภัยธรรมชาติ
• ดัชนี PMI ภาคการผลิต ธ.ค. ของสหรัฐ ลดลงต่ำสุดนับตั้งแต่ ส.ค. 2566 และต่ำกว่าคาดส่วนตัวเลขการใช้จ่ายด้านการก่อสร้าง พ.ย. เพิ่มขึ้น 0.4%MoM แต่ต่ำกว่าคาด
• อิหร่านส่งเรือรบอัลบอร์ซเข้าสู่ทะเลแดง หลังกองทัพเรือสหรัฐได้ทำลายเรือ 3 ลำของกลุ่มกบฏฮูตีซึ่งเป็นกลุ่มติดอาวุธที่อิหร่านให้การสนับสนุน ทำให้สถานการณ์ตึงเครียดมากขึ้น
• ราคาหุ้น AAPL ลดลง 3%DoD หลัง Barcleys ปรับลดอันดับความน่าลงทุน ท่ามกลางความกังวลยอดขาย iPhone 15 ชะลอตัว
• Tesla รายงานยอดผลิตรถยนต์ปี 2566 ที่ 1.85 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 35%YoY และยอดส่งมอบรถยนต์ 1.81 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 38%YoY
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นมองตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวขึ้นหรือ sideways-up แต่ยังมี upside ที่จำกัดและมีมูลค่าการซื้อขายเบาบาง เนื่องจากยังอยู่ในช่วงเทศกาลเฉลิมฉลองและรอปัจจัยชี้นำใหม่ๆ ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy”
ล็อคเป้าลงทุน
Weekly Portfolio : ช่วงสั้นมอง SET มีโอกาสปรับตัวขึ้นแต่ยังมี upside ที่จำกัดและมีมูลค่าการซื้อขายเบาบาง เนื่องจากยังอยู่ในช่วงเทศกาลเฉลิมฉลองและรอปัจจัยชี้นำใหม่ๆ กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ในหุ้นที่มีโอกาสได้รับผลบวก ดังนี้
1) หุ้น Big Cap. (SET50) ที่คาดเป็นเป้าหมายการลงทุนจากแผนจัดตั้งกองทุน TESG ซึ่งเราได้คัดเลือกหุ้นที่อยู่ในดัชนี SETESG ที่มีคุณสมบัติน่าสนใจ ดังนี้ (I) ได้ ESG Rating ตั้งแต่ “A”-“AAA” และราคาหุ้นปรับตัวลงแรงกว่า SET ในปีที่ผ่านมา เลือก OR AOT หรือ (II) ได้ ESG Rating “AAA” และราคาหุ้นปรับขึ้นดีกว่า SET ในปีที่ผ่านมา อีกทั้งผลดำเนินงานแข็งแกร่ง และคาดให้ Div. Yield สูงกว่าปีละ 5% เลือก PTT KTB
2) หุ้นที่ได้ประโยชน์จากผลตอบแทนพันธบัตรปรับลดลงได้แก่ กลุ่มพาณิชย์ (BJC CPALL CPAXT), การแพทย์ (BDMS BCH), โรงไฟฟ้า (GULF), REIT (DIF), อสังหาฯ (AP) และ Consumer Finance (TIDLOR)
3) หุ้นที่อาจได้แรงหนุนจากการทำ Short Covering มากกว่า 10% ของมูลค่าซื้อขายตั้งแต่เดือน ก.ย. 2566 และเราแนะนำ ซื้อ ได้แก่ ADVANC MINT
4) หุ้นที่ได้ประโยชน์จากโครงการ Easy E-Receipt ลดหย่อนภาษีไม่เกิน 5 หมื่นบาท เริ่มในวันที่ 1 ม.ค. – 15 ก.พ. 2567 ได้แก่ CRC HMPRO
ช่วงสั้นแนะนำระมัดระวังหุ้นที่คาดได้รับผลกระทบลบอย่างมีนัยจากแผนปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำซึ่งคาดจะมีการเสนอ ครม. พิจารณาภายในสัปดาห์นี้ ได้แก่ กลุ่มขนส่งพัสดุ (KEX) กลุ่มอาหาร (CPF GFPT TU) กลุ่มอสังหาฯ (LPN PSH) และกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ (HANA) ขณะที่ระยะกลางแนะนำระมัดระวังหุ้นที่คาดได้รับผลกระทบจากภาวะเอลนีโญที่จะกระทบต่อกำลังซื้อภาคเกษตรลดลง ได้แก่ กลุ่มสินเชื่อ (MTC SAWAD) กลุ่มยานยนต์ (SAT STANLY) กลุ่มเครื่องดื่ม (CBG จากราคาน้ำตาลที่สูงขึ้น) รวมถึงกลุ่มเกษตรและอาหาร (CPF GFPT BTG)
DAILY TOP PICKS
KTB 4Q66 คาดกำไรเติบโต 27%YoY และทรงตัว QoQ หนุนจาก NIM ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่ทั้งปี 2566 คาดกำไรเติบโต 21%YoY โดยคาดเป็น ธพ. ที่ NIM ขยายตัวมากสุดและความเสี่ยงคุณภาพสินทรัพย์ต่ำกว่า ธพ. อื่นๆ ทั้งยังเป็นหุ้นใน SETESG Index ที่น่าสนใจ โดยได้ Rating “AAA”
BH 4Q66 คาดกำไรเติบโต YoY แต่จะลดลง QoQ จากปัจจัยฤดูกาล ขณะที่ทั้งปี 2566 คาดกำไรปกติที่ 6.7 พันลบ. (+36% YoY) และคาดจะกลับมาเติบโตในระดับปกติที่ 7.1 พันลบ. ในปี 2567 (+5%YoY) หนุนจาก pent-up demand ของการใช้บริการทางการแพทย์กลับสู่ภาวะปกติ
ข่าวเด่น