คาดดัชนีเข้าสู่ช่วงพักตัว หลังปรับขึ้นมาต่อเนื่อง ทำให้มองกรอบบนมี upside จำกัด บริเวณแนวต้าน 1435 และ 1440 จุด ตามลำดับ ด้านกรอบล่างอยู่ที่แนวรับ 1420 จุด ยังใช้เป็นจุดรองรับ แต่หากต่ำกว่า จะเป็นสัญญาณลบต่อการเปิดด้าน downside โดยมีแนวรับถัดไปอยู่ที่ 1415 จุด
ประเด็นสำคัญ
• การจ้างงานนอกภาคเกษตร ธ.ค. ของสหรัฐเพิ่มขึ้น 2.16 แสนตำแหน่ง สูงกว่าคาด อัตราว่างงานทรงตัวที่ 3.7% ต่ำกว่าคาด บ่งชี้ตลาดแรงงานแข็งแกร่งทำให้ Fed อาจคง ดบ. สูงนานกว่าคาด
• ทางการจีนเตรียมคว่ำบาตร บ. ผลิตอาวุธของสหรัฐ 5 รายเพื่อตอบโต้ต่อกรณีที่สหรัฐจำหน่ายอาวุธให้กับไต้หวันระลอกล่าสุด ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและจีนตึงเครียดขึ้น
• จงจื่อ เอ็นเตอร์ไพรส์ กรุ๊ป ยื่นล้มละลายหลังขาดสภาพคล่องหนัก หลังปล่อยกู้หลายพันล้านดอลลาร์ให้แก่ภาคอสังหาฯ ของจีน
• ลิเบียประกาศปิดบ่อน้ำมันชารารา กำลังผลิต 3 แสนบาร์เรลต่อวัน หรือ 1 ใน 3 ของการผลิตของลิเบีย ท่ามกลางการประท้วง
• พาณิชย์รายงานเงินเฟ้อไทย ธ.ค. 66 ลดลง 0.83%MoM นับเป็นการหดตัวตัวต่ำสุดในรอบ 34 เดือน และมากกว่าตลาดคาด ส่งผลให้เงินเฟ้อพื้นฐานปี 2566 เฉลี่ยอยู่ที่ 1.23%
• กกร. นัดหารือ 10 ม.ค. ประเมิน ศก. ไทยปี 67 ให้สอดรับกับทิศทางต่างๆ ส่วนความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ยังต้องติดตามเพราะมีผลต่อ ศก. โลกและไทย หนุนรัฐบาลออกมาตรการกระตุ้น ศก. เพิ่ม พร้อมปรับโครงสร้างพลังงานทั้งระบบอย่างยั่งยืน
• ผู้ประกอบการอสังหาฯ-รับเหมา ระบุความเชื่อมั่นลดลงหลังตลาดหุ้นกู้ผิดนัดชำระ ขณะที่ ThaiBMA ระบุเกณฑ์ใหม่ควบคุมหุ้นกู้ไฮยีลด์ขายยากขึ้น ส่วนรัฐเตรียมตั้งกองทุนพยุง จับตา 1Q67 หุ้นกู้ไฮยีลด์ครบกำหนดชำระ 3.8 หมื่นลบ.
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นมองตลาดหุ้นไทยมีโมเมนตัมปรับขึ้นต่อได้ แต่ยังอยู่ภายใต้ Upside จำกัด เนื่องจากปัจจัยภายนอกยังมีความผันผวน และอยู่ระหว่างรอปัจจัยชี้นำใหม่ๆ ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy”
ล็อคเป้าลงทุน
Weekly Portfolio : ช่วงสั้นมอง SET มีโมเมนตัมปรับขึ้นต่อได้ แต่ยังอยู่ภายใต้ Upside จำกัด เนื่องจากปัจจัยภายนอกยังมีความผันผวน และอยู่ระหว่างรอปัจจัยชี้นำใหม่ๆ กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ในหุ้นที่ที่มีโอกาสได้รับผลบวก ดังนี้
1) หุ้นที่คาดได้อานิสงส์จาก January Effect ซึ่งพบว่าในปี 2544-2566 มีโอกาสที่ SET จะปรับขึ้น 69.23% และให้ผลตอบแทนเฉลี่ยราว 1.37% ทั้งนี้เลือก AOT KTB KBANK DIF ซึ่งจากข้อมูลย้อนหลังพบว่าเป็นกลุ่มหุ้นที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยชนะ SET
2) หุ้นที่ได้ประโยชน์จาก Bond Yield ปรับลดลง ได้แก่ กลุ่มพาณิชย์ (CPALL CPAXT), การแพทย์ (BDMS), โรงไฟฟ้า (GULF), อสังหาฯ (AP) และ Consumer Finance (TIDLOR)
3) หุ้นที่ได้ประโยชน์จากโครงการ Easy e-Receipt ลดหย่อนภาษีไม่เกิน 5 หมื่นบาท เริ่มในวันที่ 1 ม.ค. – 15 ก.พ. 2567 ได้แก่ CRC HMPRO ZEN MINT ADVANC
ระยะกลางแนะนำระมัดระวังหุ้นที่คาดได้รับผลกระทบจากภาวะเอลนีโญที่จะกระทบต่อกำลังซื้อภาคเกษตรลดลง ได้แก่ กลุ่มสินเชื่อ (MTC SAWAD) กลุ่มยานยนต์ (SAT STANLY) กลุ่มเครื่องดื่ม (CBG จากราคาน้ำตาลที่สูงขึ้น) รวมถึงกลุ่มเกษตรและอาหาร (CPF GFPT BTG)
DAILY TOP PICKS
BBL 4Q66 คาดกำไรโต 64%YoY 10%QoQ จาก NIM เพิ่มขึ้น ECL ลดลง คาดกำไรโตต่อเนื่องในปี 2567 จาก credit cost ที่ลดลง NIM ที่ขยายตัวดี สินเชื่อเติบโตขึ้น อีกทั้งคาดได้รับประโยชน์มากสุดจากการย้ายฐานธุรกิจมายังอาเซียน เป็นหุ้นใน SETESG Index ที่น่าสนใจ โดยได้ Rating “AA”
PTTEP ช่วงสั้นคาดได้อานิสงส์จากราคาน้ำมันดิบปรับขึ้น หลังลิเบียปิดบ่อน้ำมันและสถานการณ์ตะวันออกกลางตึงเครียดขึ้น แม้คาดกำไรสุทธิ 4Q66 ลดลง 10%QoQ จากรายการพิเศษ แต่คาดกำไรปกติเพิ่ม 5%QoQ จากปริมาณขายสูงขึ้นและ คชจ. ดำเนินงานลดลงจากค่าซ่อมบำรุงลดลง
ข่าวเด่น