กองทุนรวม
"บลจ.กสิกรไทย" จับมือ "J.P. Morgan" ออกผลิตภัณฑ์-บริการทางการเงิน หนุนการลงทุนไทย ตั้งเป้า 3 ปี AUM 1 แสนล้านบาท


 
 
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) หรือ KAsset เปิดตัวพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจ กับ J.P. Morgan Asset Management (JPMAM) ซึ่งเป็นบลจ.ชั้นนำระดับโลก ร่วมประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ มุ่งยกระดับการลงทุนให้กับนักลงทุนในประเทศไทย ที่เริ่มตั้งแต่ความรู้ ความเข้าใจ การแนะนำแนวทาง และการกระจายการลงทุนที่ถูกต้องผ่าน KAsset เพื่อสร้างความมั่งคั่งให้พอร์ตการลงทุนของผู้ลงทุนไทยเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยตั้งเป้ายอดลงทุนที่ 1แสนล้านบาท ภายใน 3 ปีนี้
 

ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ได้เกิดความผันผวนทางตลาดทุน เริ่มตั้งแต่สถานการณ์ไม่คาดฝันอย่างไวรัสโควิด-19 ระบาด เรื่องของความขัดแย้ง การเกิดสงครามทางอาวุธและการค้าที่เกิดขึ้นทั่วโลก เหตุการณ์เหล่านี้ส่งผลให้ตลาดลงทุนที่ผู้คนได้นำเงินไปลงทุนอยู่นั้นมีความผันผวนรุนแรง ผลตอบแทนที่เกิดขึ้นโดยทั่วไปในช่วงปีดังกล่าวจึงมักจะไม่เป็นไปตามความคาดหวังของผู้ลงทุน  ผู้ลงทุนในไทยประมาณ 60% มี Exposure ผูกกับหุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ ได้เผชิญปัญหาพอร์ตการลงทุนที่มีความผันผวนดังกล่าว ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ประเมินสถานการณ์ตลาดลงทุนได้ยากยิ่งขึ้น KAsset จึงมุ่งพัฒนาแผนกลยุทธ์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการคัดเลือกและจัดสรรสินทรัพย์ทั่วโลก พร้อมปรับรูปแบบการลงทุนให้สอดรับและทันทุกการเปลี่ยนแปลง

 
ซึ่งกรณีที่ตลาดหุ้นไทยในปี 2023 มีการติดลบ แต่ก็ยังมีโอกาสที่เกิดขึ้นในหลายตลาดทั่วโลกที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวก มีกลุ่มสินทรัพย์อีกหลาย Asset Class ที่มีผลตอบแทนยั่งยืน ให้ผลตอบแทนดีแก่ผู้ลงทุน บนโอกาสที่หลากหลายเหล่านี้ การคัดเลือกขีดความสามารถต่างๆในการจัดหาผลิตภัณฑ์ทางการเงินมาให้ลูกค้าลงทุนจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ ท่ามกลางความหลากหลายของสินทรัพย์และความท้าทายทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นตลอดเวลา ทำให้ บลจ.กสิกรไทย เลือกที่จะทำธุรกิจด้วยการสร้างความร่วมมือกับ JPMAM ผู้นำด้านการให้บริการทางการเงินครบวงจร ทั้งวาณิชธนกิจ ธนาคารพาณิชย์ ธุรกรรมทางการเงิน และธุรกิจจัดการกองทุน ที่มีลูกค้าบุคคลและลูกค้าธุรกิจหลายล้านรายในสหรัฐอเมริกา รวมถึงองค์กรขนาดใหญ่ทั้งภาครัฐและเอกชนทั่วโลก เพื่อเป็นการสร้างผลประโยชน์ คำแนะนำที่เป็นประโยชน์ภายใต้ทีมงานที่มีความแข็งแกร่งให้กับลูกค้า อันเป็นการพลิกโฉมการทำธุรกิจจากการลงทุนในประเทศไทยให้มีศักยภาพมากขึ้น
 

 
 
นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ธนาคารกสิกรไทยให้ความสำคัญกับธุรกิจการบริหารจัดการกองทุนเป็นอย่างมาก ซึ่งธนาคารมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงในการสร้างรากฐานทางการเงินที่แข็งแกร่งให้กับลูกค้า โดยปัจจุบันธนาคารมีลูกค้าที่มีการลงทุนในกองทุนรวมเกือบ 1 ล้านราย (ณ วันที่ 25 ธ.ค. 66) และยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก ดังนั้น ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระหว่าง KAsset และ JPMAM ตั้งแต่การบริหารจัดการไปจนถึงการนำเสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพที่ตรงความต้องการของลูกค้าธนาคารกสิกรไทย จะช่วยยกระดับประสบการณ์การลงทุนของลูกค้าได้เป็นอย่างดี สอดคล้องกับความมุ่งหมายของธนาคารในการส่งมอบผลตอบแทนที่ยั่งยืนให้แก่นักลงทุนไทย อีกทั้งยังเป็นก้าวสำคัญที่จะผลักดันให้ KAsset เติบโตได้อย่างเต็มศักยภาพ



นายอดิศร เสริมชัยวงศ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกสิกรไทย จำกัด หรือ KAsset กล่าวว่า เครือธนาคารกสิกรไทย ทั้งธนาคารกสิกรไทย และ บลจ.กสิกรไทย มีความเข้าใจลึกซึ้งเกี่ยวกับการลงทุนในตลาดไทย เป็นที่1 ใน AUM ในทรัพย์สินภายใต้การบริการจัดการ แต่การให้บริการลงทุนเพียงคนเดียวไม่เพียงพออีกต่อไป จึงได้ดึงพันธมิตรกับ JPMAM บลจ. ชั้นนำของโลก ที่มีทรัพย์สินภายใต้การบริการจัดการอันดับต้นๆของโลก มีทีมงานอยู่ทั่วทุกภูมิภาค และที่สำคัญคือมีผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้ในเรื่องของการจัดการการลงทุนในทุก Asset Class เป็นการร่วมมือเพื่อสร้าง Solution คำตอบในการลงทุนที่จะทำให้เกิดความมั่งคั่งกับลูกค้าของเราตลอดไป โดยประสิทธิภาพของการคัดเลือกผลิตภัณฑ์ ทางบลจ.กสิกรไทย จะคัดเลือกผลิตภัณฑ์ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีในช่วงเวลาที่เหมาะสมกับสถานการณ์ในตลาดเวลานั้นๆ มานำเสนอให้กับลูกค้า เพื่อการจัดพอร์ตที่เหมาะสม ด้วยการออกผลิตภัณฑ์ที่ตรงใจ ชวนลูกค้าวางแผนการลงทุน ตั้งเป้าหมายในชีวิตการลงทุนของลูกค้าที่สอดคล้องเหมาะสม และให้คำปรึกษาลูกค้าอย่างต่อเนื่องในทุกช่วงเวลา เพื่อสร้างทางเลือกที่เหมาะสมให้กับลูกค้าบนการกระจายความเสี่ยงด้วยกลยุทธ์ที่เรียกว่า Core & Satellite


นายสุรเดช เกียรติระนากร กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกสิกรไทย จำกัด หรือ KAsset กล่าวว่า บลจ.กสิกรไทย ต้องการมุ่งสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับนักลงทุนไทย ซึ่งที่ผ่านมาลูกค้าจะเผชิญเข้ากับประสบการณ์ที่หลากหลายเกี่ยวกับการลงทุนในตลาดต่างประเทศ ดังนั้นบริษัทจึงต้องมีการสร้างความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ที่มีความเชี่ยวชาญ มีความเข้าใจกับอุตสาหกรรมต่างประเทศอย่าง J.P. Morgan ผนวกกับความเชี่ยวชาญของเราด้าน Local Market สามารถพูดคุยอธิบายให้กับลูกค้าได้ เป็นการผนึกกำลังกันระหว่าง Partnership ที่จะสร้างความแข็งแกร่งให้กับทั้ง 2 บริษัท โดยเป้าหมายของเราจะผลักดัน Multi Asset Fund ให้มี AUM ที่ 1 แสนล้านบาทภายใน 3 ปี
 
 

 
นายแดน วัตกินส์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เจ.พี. มอร์แกน แอสเซท แมเนจเม้นท์ ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า ทีมงานของ JPMAM รู้สึกตื่นเต้นที่จะได้สร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับ KAsset ซึ่งเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่มีความสัมพันธ์อันดีมายาวนาน เพื่อนำเสนอสิ่งที่ดีที่สุดให้กับผู้ลงทุนไทย โดยมองว่าตลาดทุนไทยเป็นตลาดที่มีความคึกคักและเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการเติบโตเร็วที่สุดในภูมิภาค อย่างไรก็ดี ความเชี่ยวชาญด้านการลงทุนทั่วโลกของ JPMAM ทำให้พวกเรามีความพร้อมที่จะนำเสนอโซลูชั่นการลงทุนที่ได้มาตรฐานระดับโลกให้กับผู้ลงทุนไทย และเป็นการเปิดโอกาสในการขยายธุรกิจของ JPMAM ไปทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
 

ทั้งนี้นายอดิศร ได้กล่าวถึงสถานการณ์การลงทุนของไทยในปัจจุบันว่า การกระจายการลงทุนของลูกค้าในไทยยังมีไม่มากเท่าที่ควร เวลาจะเลือกลงทุนในตราสารหนี้ จะสนใจในทรัพย์สินที่ให้ผลตอบแทนดีเป็นตัวเลือกอันแรก ซึ่งเป็นวิธีคิดที่คิดว่าไม่ถูก บลจ.กสิกรไทยอยากให้วิธีการเลือกลงทุนใหม่ ที่ควรเริ่มจากจุดประสงค์ แผนชีวิตของตัวเอง และแผนการลงทุน จากนั้นจึงค่อยกระจายการลงทุน เพราะฉะนั้น เป้าหมายหลักที่จับต้องได้คืออยากจะเห็นลูกค้านำเงิน มาจัดพอร์ต กระจายการลงทุนให้เหมาะสม ตอบโจทย์ชีวิตของผู้ลงทุนอย่างยั่งยืน
 

“โดยในปี 2024 ยังคงเป็นปีที่ต้องระมัดระวัง เพราะยังมีความไม่แน่นอนหลายประการที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด ส่วนเรื่องของอัตราดอกเบี้ย ก็เป็นที่ค่อนข้างมั่นใจแล้วว่า นโยบายทางการเงินนี้ได้มาถึงจุดสูงสุดแล้ว และมีแนวโน้มที่อัตราดอกเบี้ยกำลังจะปรับตัวลดลง ซึ่งหากเกิด Cycle ดังกล่าวจริง อัตราดอกเบี้ยสามารถปรับตัวลดลงได้ในสภาวะที่เศรษฐกิจโลกไม่ถดถอยมากนัก หรือ ดอกเบี้ยลดในขณะที่ GDP ไม่ลงแรง ก็มีแนวโน้มที่ผลตอบแทนในการลงทุนของทรัพย์สินเสี่ยงจะปรับตัวสูงขึ้น แต่ถ้าอัตราดอกเบี้ยลดเพราะเศรษฐกิจทรุดตัวเป็นสภาวะถดถอย หรือ Recession ก็ต้องระมัดระวังในการลงทุนเป็นพิเศษ โดยขณะนี้จะเห็นได้ว่า จากภาพรวมในตลาด  Developed Market กลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วในปี 2023 เช่น สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น ถือว่ามีการเติบโตที่ดี และขึ้นมาเยอะมากแล้ว ซึ่งต้องมองด้วยความระมัดระวังอยู่ ส่วน Emerging Market ตลาดเกิดใหม่ เช่น เวียดนาม และอินเดีย ที่มีศักยภาพเทียบเคียงจีนในเชิงของการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ก็เป็นโอกาสที่น่าสนใจในการลงทุน

 
สำหรับเศรษฐกิจไทยในปี 2024 ดูจะมีตัวช่วยจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจค่อนข้างเยอะ เช่นการ ท่องเที่ยวกลับมา การส่งออกดีขึ้น นโยบายภาครัฐบาล และอัตราดอกเบี้ยของไทยก็ไม่นับว่าสูงมากหากเทียบกับสำหรัฐ ถ้าดูในภาพรวมแบบนี้ เศรษฐกิจไทยค่อนข้างไปทาง Positive กับตลาดหุ้น” นายอดิศร กล่าวเสริม
 
 
 
 

LastUpdate 11/01/2567 01:55:17 โดย :
24-11-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 24, 2024, 3:03 am