SET ยังดูยืนแนวรับ 1410 จุดได้ แต่มองการฟื้นตัวยังถูกจำกัด เนื่องจากตลาดขาดปัจจัยหนุน และรอดูตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐในคืนนี้ ทำให้คาดดัชนีจะแกว่งในกรอบ โดยมีกรอบล่างที่แนวรับ 1410 และ 1400 จุด ตามลำดับ ส่วนกรอบบนอยู่ที่แนวต้าน 1420 และ 1430 จุด ตามลำดับ
ประเด็นสำคัญ
• กกพ. มีมติเห็นชอบค่า Ft งวดเดือน ม.ค.-เม.ย. ที่ 39.72 สตางค์ต่อหน่วย ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าทุกประเภทเฉลี่ยรวมอยู่ที่ 4.18 บาทต่อหน่วย ทั้งยังระบุจับตาสถานการณ์ราคาก๊าซใกล้ชิด
• กทท. ร่วมมือภาคเอกชน เปิด 3 ธุรกิจใหม่พัฒนาท่าเรือกรุงเทพ ผลักดันเป็นฮับขนส่งทางน้ำ เพิ่มปริมาณตู้สินค้า ส่งเสริมการนำเข้า-ส่งออกระหว่าง ปท. ยกระดับขีดความสามารถการแข่งขัน
• FETCO ระบุดัชนีความเชื่อมั่น นลท. อีก 3 เดือนข้างหน้าปรับขึ้น 38.9%MoM อยู่ในเกณฑ์ร้อนแรง ปัจจัยหนุนมากสุด คือ การไหลเข้าของเงินทุน ปัจจัยฉุดมากสุด คือ การถดถอยของ ศก. ใน ปท.
• สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทยระบุปี 2567 หุ้นกู้ระยะยาวที่ครบกำหนดชำระทั้งสิ้น 8.9 แสนลบ. เป็นกลุ่ม Investment Grade 7.9 แสนลบ. (90%) และกลุ่ม High Yield 9.9 หมื่นลบ. (10%) แต่ปัญหาผิดนัดชำระหนี้ที่มีตั้งแต่ปี 66 ทำให้ผู้ลงทุนระมัดระวังลงทุนมากขึ้น
• ผู้ประกอบการค้าปลีกคาด 1Q67 มีสัญญาณบวก หนุนจากเทศกาลต่างๆ และมาตรการภาครัฐหนุน คาดตรุษจีนเงินสะพัด 1.5 หมื่นลบ. นโยบายฟรีวีซ่ากระตุ้นทัวริสต์จีนเข้าไทย 1 หมื่นคน/วัน
• EIA รายงานสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้น 1.3 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว สวนทางที่คาดว่าจะลดลง 6.75 แสนบาร์เรล ขณะที่ตลาดยังคงจับตาสถานการณ์ตึงเครียดในทะเลแดงอย่างใกล้ชิด
• ก.ล.ต. สหรัฐ ได้อนุมัติให้กองทุน 11 แห่งจัดตั้งกองทุน Spot Bitcoin ETF แล้ว ทำให้ นลท. ที่ซื้อกองทุนเข้าลงทุนใน BTC ได้โดยไม่ต้องถือครองโดยตรง ทั้งยังสร้างความสนใจต่อ นลท. สถาบัน
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นมองตลาดหุ้นไทยมีโมเมนตัมปรับขึ้นต่อได้ แต่ยังอยู่ภายใต้ Upside จำกัด เนื่องจากปัจจัยภายนอกยังมีความผันผวน และอยู่ระหว่างรอปัจจัยชี้นำใหม่ๆ ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy”
ล็อคเป้าลงทุน
Weekly Portfolio : ช่วงสั้นมอง SET มีโมเมนตัมปรับขึ้นต่อได้ แต่ยังอยู่ภายใต้ Upside จำกัด เนื่องจากปัจจัยภายนอกยังมีความผันผวน และอยู่ระหว่างรอปัจจัยชี้นำใหม่ๆ กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ในหุ้นที่มีโอกาสได้รับผลบวก ดังนี้
1) หุ้นที่คาดได้อานิสงส์จาก January Effect ซึ่งพบว่าในปี 2544-2566 มีโอกาสที่ SET จะปรับขึ้น 69.23% และให้ผลตอบแทนเฉลี่ยราว 1.37% ทั้งนี้เลือก AOT KTB KBANK DIF ซึ่งจากข้อมูลย้อนหลังพบว่าเป็นกลุ่มหุ้นที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยชนะ SET
2) หุ้นที่ได้ประโยชน์จาก Bond Yield ปรับลดลง ได้แก่ กลุ่มพาณิชย์ (CPALL CPAXT), การแพทย์ (BDMS), โรงไฟฟ้า (GULF), อสังหาฯ (AP) และ Consumer Finance (TIDLOR)
3) หุ้นที่ได้ประโยชน์จากโครงการ Easy e-Receipt ลดหย่อนภาษีไม่เกิน 5 หมื่นบาท เริ่มในวันที่ 1 ม.ค. – 15 ก.พ. 2567 ได้แก่ CRC HMPRO ZEN MINT ADVANC
ระยะกลางแนะนำระมัดระวังหุ้นที่คาดได้รับผลกระทบจากภาวะเอลนีโญที่จะกระทบต่อกำลังซื้อภาคเกษตรลดลง ได้แก่ กลุ่มสินเชื่อ (MTC SAWAD) กลุ่มยานยนต์ (SAT STANLY) กลุ่มเครื่องดื่ม (CBG จากราคาน้ำตาลที่สูงขึ้น) รวมถึงกลุ่มเกษตรและอาหาร (CPF GFPT BTG)
DAILY TOP PICKS
GPSC ช่วงสั้นได้ประโยชน์เชิง sentiment จาก Bond Yield ลดลง และราคาก๊าซที่อยู่ในระดับต่ำจากฤดูหนาวที่อบอุ่นกว่าปกติ ขณะที่อยู่ระหว่างปรับสัญญาขายไฟฟ้าลูกค้าอุตสาหกรรมเป็นอ้างอิงราคาก๊าซฯ เพิ่มขึ้น ช่วยลดความผันผวนผลประกอบการจากค่า Ft ที่ไม่สอดคล้องกับต้นทุน
HMPRO มองเป็นหุ้นใน SETESG Index ที่น่าสนใจ โดยได้ Rating “AA” คาด 4Q66 เป็นไตรมาสที่ดีสุดของปี และปี 2567 คาดจะเป็นผู้ได้ประโยชน์หลักจากโครงการ E-receipt เพราะยอดใช้จ่ายต่อบิลที่สูงกว่า บ. อื่นๆ ในกลุ่มฯ โดยราคาหุ้นปัจจุบันยังไม่ได้สะท้อนประโยชน์จากโครงการดังกล่าว
ข่าวเด่น