มอง SET เริ่มมี downside จำกัด โดยมีแนวรับที่ 1406 และ 1400 จุด ตามลำดับ เป็นจุดรองรับ อย่างไรก็ตาม ตลาดที่ขาดปัจจัยหนุน และความไม่แน่นอนเรื่องการลดดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมเดือน มี.ค. ทำให้คาดว่าการฟื้นตัวยังถูกจำกัดที่แนวต้าน 1420 จุด แต่หากขึ้นทะลุผ่านได้ จะเป็นสัญญาณบวก
ประเด็นสำคัญ
• ก. อุตสาหกรรมสั่งการให้กรมโรงงานฯ แก้ไขกฎหมายให้การผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์รูฟท็อปไม่เข้าข่ายโรงงานที่ต้องขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการฯ ขณะนี้อยู่ระหว่างแก้ไข คาดมีผลบังคับใช้ปีนี้
• ก. คมนาคมสั่ง กพท. ปรับตารางบินเพิ่ม 30-40% รับท่องเที่ยวฤดูร้อน คาดมาตรการยกเว้นวีซ่าจีนหนุน-การบินโตปกติช่วงปลายปีนี้
• ก. พลังงาน ระบุแผนงานปีนี้ปรับโครงสร้างก๊าซธรรมชาติ คาดรักษาระดับราคาพลังงานทั้งปี ลดราคาน้ำมัน-ก๊าซ-ไฟฟ้า ยกร่างกฎหมายสร้างความชัดเจน
• ดัชนี PPI ทั่วไป ธ.ค. ของสหรัฐ +1.0%YoY และ -0.1%MoM ต่ำกว่าคาด ส่วนดัชนี PPI พื้นฐาน ธ.ค. +1.8%YoY และทรงตัว MoM ต่ำกว่าคาด ทำให้ความคาดหวังว่าที่ Fed จะปรับลด ดบ. ลดลง
• สัญญาน้ำมันดิบ WTI +0.92%DoD Brent +1.14%DoD จากความตึงเครียดในทะเลแดงอาจกระทบอุปทานน้ำมัน หลังจากที่สหรัฐและอังกฤษใช้ปฏิบัติการทางอากาศโจมตีกลุ่มกบฏฮูตีในเยเมน
• นายไล่ชิงเต๋อ จากพรรค DPP ซึ่งสนับสนุนอำนาจอธิปไตยของไต้หวันชนะการเลือกตั้งเป็น ปธน. ไต้หวันเมื่อวันที่ 13 ม.ค. 67 ด้วยเสียงสนับสนุนมากกว่า 5.5 ล้านเสียง คิดเป็น 40% ของผู้ที่มาลงคะแนน ขณะที่จีนกร้าวจะไม่ยอมแพ้ในการบรรลุการรวมชาติใหม่
• Citi Group เตรียมเลิกจ้าง พนง. 2 หมื่นคนในอีกสองปีข้างหน้า หลัง 4Q66 ขาดทุนสุทธิ 1.8 พันล้านเหรียญ แย่สุดในรอบ 15 ปี
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นตลาดหุ้นไทยจะได้รับแรงกดดันจากปัจจัยภายนอก ซึ่งคาดตัวเลขเศรษฐกิจจีน (GDP 4Q66) และสหรัฐ (ยอดขายปลีกและยอดขายบ้านมือสอง) ยังออกมาไม่สดใสมากนัก อย่างไรก็ดี ความคาดหวังเชิงบวกต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีนและลดดอกเบี้ยของเฟดคาดจะช่วยลดแรงกดดันลงได้บ้าง ภายใต้ในประเทศที่ยังขาดปัจจัยหนุนใหม่ๆ ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy”
ล็อคเป้าลงทุน
Weekly Portfolio : ช่วงสั้นมอง SET จะได้รับแรงกดดันจากตัวเลขเศรษฐกิจจีนและสหรัฐที่จะออกมายังไม่สดใสมากนัก แต่ยังมีความคาดหวังเชิงบวกต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีนและลดดอกเบี้ยของเฟดช่วยลดแรงกดดันลงได้บ้าง กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ในธีมที่มีปัจจัยบวกเฉพาะ ดังนี้
1) หุ้นที่ราคายัง Laggard โดยตั้งแต่ต้นปี 2566-ปัจจุบัน ราคาหุ้นมีการปรับตัวลงแรงกว่า SET จนทำให้ PER และ PBV ปี 2567 ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ขณะที่ผลการดำเนินงานมีแนวโน้มเติบโตได้ดีในปี 2567 และยังมี Upside น่าสนใจ เลือก AOT BEM HMPRO GULF ZEN
2) หุ้นที่ได้ประโยชน์จากโครงการ Easy e-Receipt ลดหย่อนภาษีไม่เกิน 5 หมื่นบาท เริ่มในวันที่ 1 ม.ค. – 15 ก.พ. 2567 ได้แก่ CRC MINT ADVANC
3) นักลงทุนที่ต้องการลงทุนในหุ้นที่มีศักยภาพในการจ่ายปันผลดี โดยคาดให้ Div. Yield (หลังหักจ่ายระหว่างกาลไปแล้ว) จากกำไรปี 2566 สูงเกิน 5% และคาดจะขึ้นเครื่องหมาย XD ในช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค. 67 เลือก AP TISCO KTB
ระยะกลางแนะนำระมัดระวังหุ้นที่คาดได้รับผลกระทบจากภาวะเอลนีโญที่จะกระทบต่อกำลังซื้อภาคเกษตรลดลง ได้แก่ กลุ่มสินเชื่อ (MTC SAWAD) กลุ่มยานยนต์ (SAT STANLY) กลุ่มเครื่องดื่ม (CBG จากราคาน้ำตาลที่สูงขึ้น) รวมถึงกลุ่มเกษตรและอาหาร (CPF GFPT BTG)
DAILY TOP PICKS
BCP ช่วงสั้นได้ sentiment หนุนจากราคาน้ำมันปรับขึ้นหลังสถานการณ์ตะวันออกกลางตึงเครียดมากขึ้น ขณะที่แม้คาดปี 2566 กำไรปกติจะอ่อนตัวลง 45%YoY จาก GRM สูงผิดปกติปี 2565 แต่จะกลับมาโต 52%YoY ในปี 2567 ทั้งยังจ่ายปันผลดีและสม่ำเสมอ คาดให้ Div. Yield ราวปีละ 8%
HMPRO คาด 4Q66 จะเป็นไตรมาสที่ดีสุดของปี หนุนปี 2566 กำไรโต 3.9%YoY และโตต่อ 11.8%YoY ในปี 2567 ซึ่งคาดจะเป็นผู้ได้ประโยชน์หลักจากโครงการ Easy e-Receipt เพราะยอดใช้จ่ายต่อบิลที่สูงกว่า บ. อื่นๆ ในกลุ่มฯ โดยราคาหุ้นปัจจุบันยังไม่ได้สะท้อนประโยชน์จากโครงการดังกล่าว
ข่าวเด่น