แม้ SET ยังไม่ได้แสดงสัญญาณกลับตัว อย่างไรก็ตาม ดัชนีลงมาใกล้แนวรับจิตวิทยาบริเวณ 1400 จุด ซึ่งคาดว่าดัชนีมีโอกาสฟื้นตัวจากแนวรับดังกล่าว ด้านกรอบบนยังถูกจำกัดที่แนวต้าน 1416 จุด ซึ่งหากขึ้นทะลุผ่านได้ จะเป็นสัญญาณบวกต่อภาพการฟื้นตัว โดยมีแนวต้านถัดไปที่ 1430 จุด
ประเด็นสำคัญ
• ส.อ.ท. เตรียมเสนอรัฐบาลดูแลค่าไฟฟ้าระยะเร่งด่วนปี 2567 วางเป้าหมายค่าไฟฟ้าเฉลี่ยไม่เกิน 3.60 บ./หน่วย ด้าน ก. พลังงานทำประชาพิจารณ์ไฟฟ้าสีเขียว สรุปข้อมูลภายใน ก.พ. นี้ กำหนดค่าไฟระยะแรก 4.56 บ.
• ธปท. ยืนยันนโยบายการเงินไม่ผิดทาง ระบุ ศก. มีปัญหาที่โครงสร้าง การลด ดบ. ไม่สามารถแก้ได้ เตรียมหารือกับ ธ.พ. ดูแลลูกหนี้ที่ผ่อนชำระหนี้ไม่ไหว พร้อมดูแลต้นทุน-ประสิทธิภาพ ธ.พ. เพื่อลดส่วนต่าง ดบ. ระยะยาว
• กลุ่มกบฏฮูตีเตือนจะขยายเป้าหมายการโจมตีเรือสินค้าที่แล่นผ่านทะเลแดง รวมถึงเรือสินค้าสหรัฐ หลังจากสหรัฐและอังกฤษใช้ปฏิบัติการทางอากาศโจมตีฐานที่มั่นของกลุ่มกบฏฮูตีในเยเมน
• IMF เตือน ศก. จีนกำลังเผชิญความท้าทายทั้งในระยะสั้นและระยะยาว แนะนำปฏิรูปโครงสร้างเพื่อเลี่ยงไม่ให้ ศก. ชะลอตัวลงรุนแรง
• PBOC คง ดบ. นโยบาย (MLF ระยะ 1 ปี) ไว้ที่ 2.50% สวนทางที่คาดว่าจะปรับลงเพื่อรับมือภาวะเงินฝืดและกระตุ้นการปล่อยกู้เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของ ศก.
• Bloomberg ระบุจีนนำเข้าชิปลดลง 15.4%YoY สู่ระดับ 3.494 แสนล้านดอลลาร์ ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2566 ผลจากความไม่แน่นอนทาง ศก. และมาตรการห้ามส่งออกชิปไปยังจีนของสหรัฐ
• โรเบิร์ต โฮลซ์แมนน์ สมาชิก คกก. ควบคุมนโยบายของ ECB กล่าวว่า ECB อาจไม่มีการปรับลดดบ. ตลอดทั้งปี 2567
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นตลาดหุ้นไทยจะได้รับแรงกดดันจากปัจจัยภายนอก ซึ่งคาดตัวเลขเศรษฐกิจจีน (GDP 4Q66) และสหรัฐ (ยอดขายปลีกและยอดขายบ้านมือสอง) ยังออกมาไม่สดใสมากนัก อย่างไรก็ดี ความคาดหวังเชิงบวกต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีนและลดดอกเบี้ยของเฟดคาดจะช่วยลดแรงกดดันลงได้บ้าง ภายใต้ในประเทศที่ยังขาดปัจจัยหนุนใหม่ๆ ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy”
ล็อคเป้าลงทุน
Weekly Portfolio : ช่วงสั้นมอง SET จะได้รับแรงกดดันจากตัวเลขเศรษฐกิจจีนและสหรัฐที่จะออกมายังไม่สดใสมากนัก แต่ยังมีความคาดหวังเชิงบวกต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีนและลดดอกเบี้ยของเฟดช่วยลดแรงกดดันลงได้บ้าง กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ในธีมที่มีปัจจัยบวกเฉพาะ ดังนี้
1) หุ้นที่ราคายัง Laggard โดยตั้งแต่ต้นปี 2566-ปัจจุบัน ราคาหุ้นมีการปรับตัวลงแรงกว่า SET จนทำให้ PER และ PBV ปี 2567 ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ขณะที่ผลการดำเนินงานมีแนวโน้มเติบโตได้ดีในปี 2567 และยังมี Upside น่าสนใจ เลือก AOT BEM HMPRO GULF ZEN
2) หุ้นที่ได้ประโยชน์จากโครงการ Easy e-Receipt ลดหย่อนภาษีไม่เกิน 5 หมื่นบาท เริ่มในวันที่ 1 ม.ค. – 15 ก.พ. 2567 ได้แก่ CRC MINT ADVANC
3) นักลงทุนที่ต้องการลงทุนในหุ้นที่มีศักยภาพในการจ่ายปันผลดี โดยคาดให้ Div. Yield (หลังหักจ่ายระหว่างกาลไปแล้ว) จากกำไรปี 2566 สูงเกิน 5% และคาดจะขึ้นเครื่องหมาย XD ในช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค. 67 เลือก AP TISCO KTB
ระยะกลางแนะนำระมัดระวังหุ้นที่คาดได้รับผลกระทบจากภาวะเอลนีโญที่จะกระทบต่อกำลังซื้อภาคเกษตรลดลง ได้แก่ กลุ่มสินเชื่อ (MTC SAWAD) กลุ่มยานยนต์ (SAT STANLY) กลุ่มเครื่องดื่ม (CBG จากราคาน้ำตาลที่สูงขึ้น) รวมถึงกลุ่มเกษตรและอาหาร (CPF GFPT BTG)
DAILY TOP PICKS
KTB 4Q66 คาดกำไรเติบโต 27%YoY และทรงตัว QoQ หนุนจาก NIM ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่ทั้งปี 2566 คาดกำไรเติบโต 21%YoY และคาด NIM ขยายตัวมากสุด ความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์ต่ำกว่าธนาคารอื่นๆ รวมทั้งยังเป็นหุ้นที่จ่ายปันผลสูงจูงใจ โดยคาดให้ Div. Yield ราวปีละ 5.6%
GULF 4Q66 คาดกำไรโตต่อเนื่องจากโรงไฟฟ้า IPP (GPD) 1 หน่วยเริ่มดำเนินการในเดือน ต.ค. 66 รวมทั้งกำไรจาก Jackson Generation เพิ่มขึ้น คาดปี 2566 กำไรปกติโต 32%YoY และ 28%YoY ในปี 2567 อีกทั้งราคาหุ้นยัง Laggard โดยมี PER และ PBV ปี 2567 ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี
ข่าวเด่น