24 มกราคม 2567 - นายกอบสิทธิ์ ศิลปชัย ผู้บริหารงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย หรือ KBANK วิเคราะห์ถึงสภาวะเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยปี 2567 ว่า เศรษฐกิจไทยคาดปรับตัวขึ้น 3.1% หากรวมกับโครงการดิจิทัลวอลเล็ตของรัฐบาล เศรษฐกิจจะเติบโตเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 3.6% อย่างไรก็ตาม โครงสร้างของเศรษฐกิจไทยพึ่งพาภาคบริการเป็นหลัก ทำให้เศรษฐกิจไทยมีการเติบโตช้าสุดในรอบ 10 ปี และมีโอกาสจะเข้าสู่ภาวะถดถอยเพิ่มขึ้นจาก 5% เป็น 15% ส่วนประเด็นความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างสหรัฐ-จีน ส่งผลทำให้ตลาดหุ้นไทยตกอยู่ในบรรยากาศที่กดดันมากยิ่งขึ้น
เศรษฐกิจไทยตอนนี้นับว่าโตช้าที่สุดในรอบ 10 ปี หากเทียบกับประเทศในภูมิภาคอาเซียนที่กำลังเติบโตอย่าง เวียดนาม ฟิลิปปินส์ หรือ อินโดนีเซีย เนื่องมาจากเงินลงทุนภาคเอกชนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของไทยมีสัดส่วนที่ลดลง ซึ่งแสดงให้เห็นจากที่นักลงทุนต่างชาติต่างขายหุ้นไทยออกไปมากขึ้น เพราะด้วยความที่ประเทศไทยพึ่งพาธุรกิจภาคบริการในสัดส่วนที่มากขึ้น ทำให้โครงสร้างเศรษฐกิจเอนเอียงไปยังภาคบริการเป็นหลัก ส่งผลต่อภาคอุตสาหกรรมที่ซบเซาลงเรื่อยๆ
อ้างอิงตามดัชนี PMI ที่บ่งชี้ถึงสภาวะทางเศรษฐกิจของภาคการผลิตจะพบว่า อุตสาหกรรมการผลิตของไทยมีการปรับตัวลดลงตลอดปี 2023 ที่ผ่านมา ผกผันกับภาคบริการที่ปรับตัวดีขึ้น จากด้านการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวหลังภาวะไวรัส Covid-19 ซึ่งนายกอบสิทธิ์มองว่า การที่เศรษฐกิจไทยพึ่งพาภาคบริการเป็นหลักเพียงอย่างเดียว นับเป็นความเสี่ยง เนื่องจากพึ่งพาเม็ดเงินจากต่างประเทศที่ต้องแบกรับความเสี่ยงด้านปัญหาโรคระบาดที่เคยเกิดขึ้นให้เห็นมาแล้ว สภาวะความขัดแย้งด้านสงคราม การเมือง และปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่เกิดขึ้นอยู่ ณ ขณะนี้
“ช่วงก่อนปี 2540 ไทยพึ่งพาเศรษฐกิจในประเทศ เน้นการลงทุนในประเทศ แต่หลังจากปี 40 เศรษฐกิจไทยต้องหาทางรอดด้วยการส่งออกเพื่อพึ่งพาตลาดต่างประเทศแทน รวมถึงภาคบริการที่เน้นด้านการท่องเที่ยวจากต่างชาติ ทำให้ไทยได้รับความกดดันจากบรรยากาศภายนอกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งตอนนี้สภาวะสงครามขยายตัวขึ้น เรื่องของการเมืองจากทางฝั่งสหรัฐ ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐและจีน และปัญหาเชิงโครงสร้างของจีนที่เรื้อรังอย่างยาวนานซึ่งกระทบกับภาคการส่งออกและภาคบริการของไทยเต็มๆ” นายกอบสิทธิ์ กล่าว
โดยการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ทางฝั่งพรรครีพับลิกัน ที่นำโดย โดนัลด์ ทรัมป์ มีคะแนนนำโด่งในการเลือกตั้งขั้นต้น ทำให้ตลาดลงทุนมีความกังวลเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ มีนโยบาย America First และเป็นปฏิปักษ์กับจีนมาโดยตลอด จากที่มีการกีดกันสินค้านำเข้าจากจีนลงจาก 24% ลงมาเป็น 15% ของสินค้านำเข้าสหรัฐทั้งหมด ซึ่งการที่จีนไม่สามารถทำการส่งออกได้ กระทบกับภาคอุตสาหกรรมและภาคการส่งออกของไทยโดยตรง เพราะไทยเป็น 1 ในสายห่วงโซ่การผลิตของจีน และถึงแม้จีนจะแก้เกมด้วยการตั้งโรงงานในเม็กซิโกเพื่อเพิ่มยอดการส่งออกไปสหรัฐ ก็อาจเกิดเป็นประเด็นความขัดแย้งด้านการลักลอบที่มีความเสี่ยงให้สหรัฐอาจมีการออกมาตรการคว่ำบาตรจีนในอนาคตมากขึ้น จากที่มีความเสี่ยงอยู่แล้วสำหรับประเด็นความขัดแย้งระหว่างจีน-ไต้หวัน และข้อพิพาทด้านทะเลจีนใต้
นอกจากนี้จีนมีปัญหาเรื้อรังเชิงโครงสร้าง ที่ปี 2567 ทางกสิกรไทยคาดว่า GDP จีน จะโต 4.5% ลดจากเป้า 5.5% ทั้งเรื่องฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ กำลังซื้อของคนจีน รวมถึงอัตราการเกิดที่ลดลง รวมทั้งปัญหาทะเลจีนใต้ ที่ส่งผลทำให้ค่าระวางเรือเพิ่มสูงขึ้น และความขัดแย้งด้านการเมืองและภูมิรัฐศาสตร์ ส่งผลให้เศรษฐกิจจีนเติบโตช้า และการพึ่งพาเศรษฐกิจในประเทศตลอดมาของจีนเผชิญความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นเหมือนวิกฤตในปี 2540 ของประเทศไทย
ด้านนายนรวิชญ์ เวทไว ผู้บริหารงานขายผลิตภัณฑ์ทางการเงิน ธนาคารกสิกรไทย หรือ KBANK รายงานเพิ่มเติมถึงสภาวะเศรษฐกิจจีนในปัจจุบันว่า “ในตลาดหุ้นจีน ดัชนี CSI 300 ลดลงมากสุดในรอบ 5 ปี ซึ่งไม่เคยเห็นนานขนาดนี้มาก่อน บ่งบอกได้ถึงมุมมองของนักลงทุนต่างชาติทีมีความกังวลในการลงทุนในตลาดหุ้นเอเชีย ซึ่งส่งผลต่อ Sentiment ของตลาดหุ้นไทย กระทบการส่งออกโดยตรง แต่ในไตรมาส 1 ของปีนี้ อาจได้เริ่มเห็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีน ซึ่งถ้าหากเป็นไปด้วยดี และวิกฤตด้านอสังหาริมทรัพย์ไม่กลับมาลุกลาม ก็อาจส่งผลดีกับไทยในด้านจำนวนนักท่องเที่ยวจีนมากขึ้น”
อย่างไรก็ดี นายกอบสิทธิ์ ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยปี 2567 เติบโตมากกว่าปีที่แล้ว เนื่องจากปัจจัยพื้นฐาน ทั้งจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่คาดการณ์ว่าจะเข้ามายังไทยทั้งสิ้น 33 ล้านคน และ สถานการณ์เงินเฟ้อดีขึ้น จากที่ทางธนาคารกลางสหรัฐหรือ Fed มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในไตรมาส 2 นี้ และคาดว่าจะปรับลดลง 5 ครั้งในสิ้นปี 2567 ส่งผลให้ค่าเงินบาทค่อยๆทยอยแข็งค่าขึ้น โดย ณ สิ้นปีเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 34 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
ข่าวเด่น