การชะลอตัว SET มีแนวรับบริเวณ 1370 และ 1360 จุด ตามลำดับ เป็นจุดติดตาม หากไม่ต่ำกว่า คาดว่ายังมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ต่อ โดยมีแนวต้านถัดไปอยู่ที่ 1386 และ 1396 จุด ตามลำดับ ส่วนกรณีต่ำกว่า 1360 จุด จะกลับมาเป็นสัญญาณลบ และมีแนวโน้มทดสอบจุดต่ำเดิมอีกครั้งบริเวณ 1354 จุด
ประเด็นสำคัญ
• GDP 4Q66 (ครั้งที่ 1) ของสหรัฐ +3.3% สูงกว่าคาด หนุนจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่แข็งแกร่ง ช่วยให้ นลท. คลายกังวลภาวะ ศก. ถดถอยหลัง Fed ปรับขึ้น ดบ. เชิงรุกในช่วงที่ผ่านมา
• ยอดขายบ้านใหม่ ธ.ค. ของสหรัฐ +8.0%MoM และ +4.4%YoY อยู่ที่ 6.64 แสนยูนิต สูงกว่าตลาดคาด ส่วนราคาเฉลี่ยของบ้านใหม่ ธ.ค. ลดลงสู่ 413,200 เหรียญ
• ECB มีมติคง ดบ. เงินฝากที่ 4.00%, ดบ. เงินกู้ที่ 4.75% และ ดบ. รีไฟแนนซ์ที่ 4.50% ตามคาด เป็นการตรึง ดบ. ติดต่อกันเป็นครั้งที่ 3
• ก. คมนาคมของจีนระบุยอดการเดินทางในจีนมีแนวโน้มแตะระดับสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 9 พันล้านครั้งในช่วง 40 วันของช่วงชุนอวิ้น ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดินทางเฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีน
• กองทัพยูเครนส่งโดรนโจมตีโรงงานน้ำมันของรัสเซียซึ่งมีกำลังผลิต 2.4 แสนบาร์เรล/วัน ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการส่งออกปิโตรเลียมของรัสเซีย
• นายหวัง อี้ รมว. ต่างประเทศจีน มีกำหนดเดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการในวันที่ 26-29 ม.ค. นี้ เพื่อส่งเสริมความร่วมมือในสาขาต่างๆ โดยวันนี้เตรียมเข้าพบนายกฯ ร่วมลงนามฟรีวีซ่าไทย-จีนแบบถาวร เริ่มมีผล 1 มี.ค. นี้
• REIC รายงานดัชนีราคาค่าก่อสร้างบ้านมาตรฐาน 4Q66 ที่ 134.5 เพิ่มขึ้น 0.2%QoQ และ 2.0%YoY บ่งชี้ราคาค่าก่อสร้างบ้านมาตรฐาน ยังอยู่ในทิศทางที่ปรับขึ้น แต่เป็นการปรับตัวขึ้นไม่มาก
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นตลาดหุ้นไทยยังมีแนวโน้มได้รับแรงกดดันจากปัจจัยภายนอกอย่างต่อเนื่อง ซึ่งคาดตลาดจะมีการปรับลดความคาดหวังต่อการปรับลดดอกเบี้ยของเฟดลง หลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ เงินเฟ้อ ตลาดแรงงานและการผลิตไม่ได้แย่อย่างที่กังวล ซึ่งทำให้ตลาดสินทรัพย์เสี่ยงมีโอกาสพักฐานในช่วงสั้น ขณะที่ในประเทศเองยังขาดปัจจัยหนุนใหม่ กลยุทธ์ลงทุนจึงเน้น “ตั้งรับ สะสมหุ้นพื้นฐานรอการฟื้นตัวของตลาด”
ล็อคเป้าลงทุน
Weekly Portfolio : ช่วงสั้นมอง SET ยังเปราะบางและมีแนวโน้มได้รับแรงกดดันจากปัจจัยภายนอก ขณะที่ในประเทศมองยังขาดปัจจัยหนุนใหม่ที่จะเข้ามาช่วยกระตุ้นบรรยากาศการใหม่ ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงเน้น “ตั้งรับ สะสมหุ้นพื้นฐานรอการฟื้นตัวของตลาด” ใน 2 ธีมหลัก ดังนี้
1) นักลงทุนระยะกลางที่ต้องการลงทุนในหุ้นปันผลที่มีคุณภาพดี เลือก AP BCP และ KTB โดยใช้หลักเกณฑ์ คือ มีสถิติจ่ายปันผลต่อเนื่องอย่างน้อย 10 ปีขึ้นไป, มี SET ESG Ratings ระดับ AAA/AA, คาดให้ Div. Yield ที่เหลือหลังหักเงินปันผลที่จ่ายระหว่างกาลไปในระหว่างปี 66 สูงเกิน 5% และปี 2567 ผลประกอบการมีแนวโน้มเติบโต YoY
2) นักลงทุนระยะยาวแนะนำลงทุนสะสมแบบ DCA เนื่องจากมองเป็นจังหวะที่ดีที่สุด หลัง SET ปรับลงแรงจนความเสี่ยงลดลงไปมาก และราคาหุ้นอยู่ในระดับ Undervalue มาก โดยเลือก BBL BDMS BEM CPALL PTT และ SCC ซึ่งเป็นหุ้น SET100 ซึ่งเป็นผู้นำในแต่ละอุตสาหกรรม และมี ESG Ratings ระดับ AAA/AA, Valuation ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในรอบ 10 ปี และผลการดำเนินงานยังแข็งแกร่ง
ระยะกลางแนะนำระมัดระวังหุ้นที่คาดได้รับผลกระทบจากภาวะเอลนีโญที่จะกระทบต่อกำลังซื้อภาคเกษตรลดลง ได้แก่ กลุ่มสินเชื่อ (MTC SAWAD) กลุ่มยานยนต์ (SAT STANLY) กลุ่มเครื่องดื่ม (CBG จากราคาน้ำตาลที่สูงขึ้น) รวมถึงกลุ่มเกษตรและอาหาร (CPF GFPT BTG)
DAILY TOP PICKS
AOT มองมีปัจจัยกระตุ้นระยะสั้นจากกำไร 1QFY67 (ต.ค.-ธ.ค. 66) ที่คาดแข็งแกร่ง โดยคาดกำไรปกติ 5.6 พันลบ. เพิ่มขึ้นก้าวกระโดด YoY และ 54%QoQ อิงจำนวน ผดส. ระหว่าง ปท. ที่ 16.9 ล้านคน ราคาหุ้นซื้อขายที่ PEG 0.2 เท่า ต่ำกว่า PEG เฉลี่ยหุ้นกลุ่มเดียวกันในภูมิภาคที่ 0.3 เท่า
BCP ช่วงสั้นได้ sentiment บวกจากราคาน้ำมันปรับขึ้น แม้คาดปี 2566 กำไรปกติลดลง 45%YoY จาก GRM สูงผิดปกติในปี 2565 แต่จะกลับมาโต 52%YoY ในปี 2567 ทั้งยังจ่ายปันผลดี คาดให้ Div. Yield ปี 66 (หลังหักจ่ายระหว่างกาลแล้ว) เกิน 5% ทั้งนี้แนะนำราคาเข้าซื้อเก็งกำไรไม่เกิน 42 บ.
ข่าวเด่น