ตลาดยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามากำหนดทิศทาง และนักลงทุนในตลาด รอติดตามผลประชุมเฟดคืนนี้ ทำให้คาด SET แกว่งในกรอบระหว่าง 1360-1380 จุด โดยทางด้านแนวโน้มราคา รอการ breakout จากกรอบ จะมีทิศทางที่ชัดเจนขึ้น โดยมีแนวต้านถัดไปที่ 1386 จุด และแนวรับถัดไปอยู่ที่ 1353 จุด
ประเด็นสำคัญ
• ตัวเลขการเปิดรับสมัครงาน ธ.ค. ของสหรัฐเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 9.026 ล้านตำแหน่ง สูงกว่าคาด สะท้อนตลาดแรงงานยังคงแข็งแกร่งมากเกินกว่าที่ Fed จะพิจารณาลด ดบ. ในเดือน มี.ค.
• IMF คาดปีนี้ ศก. โลกจะขยายตัว 3.1%YoY เพิ่มขึ้นจากคาดการณ์เมื่อ ต.ค. 66 ที่ 2.9% หนุนจากการขยายตัวของ ศก. สหรัฐ และมาตรการกระตุ้นการคลังของจีน นอกจากนี้ยังคาดเงินเฟ้อของโลกปีนี้จะอยู่ที่ 5.8% จาก 6.8% ในปีที่แล้ว และปีหน้าจะอยู่ที่ 4.4%
• Bond Yield รัฐบาลจีนอายุ 10 ปี ร่วงลงแตะระดับ 2.47% ต่ำสุดในรอบ 22 ปี หลังคาด PBOC เดินหน้าผ่อนคลายนโยบายการเงิน ท่ามกลาง ศก. ที่ฟื้นตัวเปราะบาง และตลาดหุ้นถูกเทขายอย่างหนัก
• ซาอุดิอารัมโก ประกาศจะหยุดแผนการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบจาก 12 เป็น 13 ล้านบาร์เรลต่อวัน หลังได้รับคำสั่ง ก.พลังงานของซาอุดีอาระเบียให้รักษากำลังการผลิตที่ยั่งยืนสูงสุด
• ก. ท่องเที่ยวฯ ระบุจำนวน นทท. สะสมตั้งแต่ 1-28 ม.ค. รวมทั้งสิ้น 2.74 ล้านคน สร้างรายได้ราว 1.33 แสนลบ. โดยจำนวนนักท่องเที่ยวสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน มาเลเซีย เกาหลีใต้ รัสเซีย และอินเดีย
• ธอส. วางเป้าปล่อยกู้บ้านปีนี้ 2.4 แสนลบ. เติบโต 3% ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยตาม กนง. ทันที เตรียมเสนอมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ รอบใหม่ให้รัฐบาลพิจารณาใน ก.พ. นี้
• วันนี้ 14.00 น. จับตาศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัยคดีพรรคก้าวไกลล้มล้างการปกครอง
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นมองตลาดหุ้นโลกมีโมเมนตัมปรับขึ้นได้จากตัวเลขเศรษฐกิจและผลประกอบการของ บจ. ทึ่คาดออกมาดี พร้อมกับคาดจะมีการปรับลดความคาดหวังต่อการปรับลดดอกเบี้ยของเฟดลง ทั้งนี้มองการประชุมเฟดสัปดาห์นี้จะยังไม่ส่งสัญญาณการลดดอกเบี้ยในเดือน มี.ค. ขณะที่ตลาดหุ้นไทยคาดมีแรงกดดันจากความกังวลผลประกอบการ 4Q66 ของ บจ. ไทยที่อาจออกมาอ่อนแอและยังขาดปัจจัยหนุนใหม่ ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงเน้น “ตั้งรับ สะสมหุ้นพื้นฐานรอการฟื้นตัวของตลาด”
ล็อคเป้าลงทุน
Weekly Portfolio : ช่วงสั้นมองตลาดหุ้นไทยคาดมีแรงกดดันจากความกังวลผลประกอบการ 4Q66 ของ บจ. ที่อาจออกมาอ่อนแอและยังขาดปัจจัยหนุนใหม่ ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงเน้น “ตั้งรับ สะสมหุ้นพื้นฐานรอการฟื้นตัวของตลาด” ใน 3 ธีมหลัก ดังนี้
1) นักลงทุนระยะสั้น (3-4 เดือน) ที่ต้องการลงทุนในหุ้นปันผลคุณภาพดีในเทศกาลจ่ายเงินปันผลและขึ้น XD ในช่วง มี.ค.–พ.ค. นี้ โดยคาดให้ Div. Yield ปี 66 (หลังหักจ่ายระหว่างกาลแล้ว) เกิน 5% เลือก AP BCP KTB ขณะที่นักลงทุนระยะยาวที่ต้องการลงทุนในหุ้นปันผลคุณภาพดีเพื่อสร้างกระแสเงินสดที่ดีต่อเนื่อง โดยคาดให้ Div. Yield ปี 67 เกิน 5% เลือก AH AP BCP KTB PTT TTB
2) นักลงทุนที่กังวลตลาดผันผวนเชิงลบแนะนำลงทุนในหุ้นตั้งรับซึ่งคาดจะสามารถชนะตลาดได้ โดยมี Beta ต่ำกว่า 1, ราคาหุ้นปรับตัว YTD ดีกว่า SET เลือก ADVANC AOT BDMS TISCO
3) นักลงทุนระยะยาวแนะนำลงทุนสะสมแบบ DCA เนื่องจากมองเป็นจังหวะที่ดีที่สุด หลัง SET ปรับลงแรงจนความเสี่ยงลดลงไปมาก และราคาหุ้นอยู่ในระดับ Undervalue มาก โดยเลือก BBL BDMS BEM CPALL PTT และ SCC ซึ่งเป็นหุ้น SET100 ซึ่งเป็นผู้นำในแต่ละอุตสาหกรรม และมี ESG Ratings ระดับ AAA/AA, Valuation ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในรอบ 10 ปี และผลการดำเนินงานยังแข็งแกร่ง
ระยะสั้นแนะนำระมัดระวังหุ้นที่คาดผลประกอบการ 4Q66 อาจอ่อนแอกว่าตลาดคาด ได้แก่ BJC HMPRO GLOBAL CRC ZEN CPF BTG ONEE AWC SIRI ส่วนระยะกลางแนะนำระมัดระวังหุ้นที่คาดได้รับผลกระทบจากภาวะเอลนีโญที่จะกระทบต่อกำลังซื้อภาคเกษตร ได้แก่ กลุ่มสินเชื่อ (MTC SAWAD) กลุ่มยานยนต์ (SAT STANLY) กลุ่มเครื่องดื่ม (CBG) รวมถึงกลุ่มเกษตรและอาหาร (CPF GFPT BTG)
DAILY TOP PICKS
BDMS มองราคาหุ้นจะ outperform ต่อเนื่อง หนุนจากผลประกอบการที่แข็งแกร่ง ประเมินกำไรปกติ 4Q66 ที่ 3.6 พันลบ. (เพิ่มขึ้น 16%YoY แต่ลดลง 7%QoQ) คาดกำไรปกติปี 2567 โต 8%YoY อีกทั้ง Valuation ยังอยู่ในระดับต่ำ PER ปี 2567 ที่ 29 เท่า ต่ำกว่า -2SD ของ PER เฉลี่ยในอดีต
GPSC ช่วงสั้นได้ Sentiment บวกจากราคาก๊าซในยุโรปและ Bond Yield ที่ปรับลง ขณะที่อยู่ระหว่างปรับสัญญาขายไฟฟ้าให้กับลูกค้าอุตฯ เป็นอ้างอิงราคาก๊าซฯ เพิ่มขึ้น ลดความผันผวนผลประกอบการจากค่า Ft ที่ไม่สอดคล้องต้นทุน ปัจจุบันซื้อขายที่ -1SD บน PBV ปี 2567 ที่ 1.1 เท่า
ข่าวเด่น