SET เผชิญแรงขายบริเวณ 1400 จุด ให้ปรับตัวลง และสร้างสัญญาณลบทางเทคนิค ทำให้ดัชนีมีแนวโน้มปรับลงได้ต่อ โดยมีแนวรับถัดไปที่ 1380 และ 1370 จุด ตามลำดับ ขณะที่การฟื้นตัวถูกจำกัดโดยมีกรอบบนบริเวณแนวต้าน 1400-1405 จุด ต้องขึ้นทะลุผ่านให้ได้ก่อนถึงจะกลับมาเป็นสัญญาณบวก
ประเด็นสำคัญ
• จำนวนผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกของสหรัฐสัปดาห์ที่แล้ว ลดลง 9,000 ราย สู่ระดับ 218,000 ต่ำกว่าตลาดคาด
• เงินเฟ้อ ม.ค. ของจีนปรับลง 0.8%YoY ลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 และปรับลงมากที่สุดในรอบ 15 ปี นับตั้งแต่ปี 2552 ตอกย้ำว่าจีนมีความเสี่ยงที่จะเผชิญกับภาวะเงินฝืด
• ธ. กลางอินเดียมีมติคง ดบ. ที่ 6.5% ติดต่อกันเป็นครั้งที่ 6 พร้อมส่งสัญญาณตรึง ดบ. ในระดับสูงต่อไปเพื่อสกัดเงินเฟ้อ เนื่องจากเงินเฟ้อยังคงอยู่สูงกว่าเป้าหมาย 4%
• Maersk ส่งสัญญาณถึงความไม่แน่นอนในแนวโน้มผลกำไรปี 2567 จากวิกฤตในทะเลแดงส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการเดินเรือ อีกทั้งยกเลิกแผนซื้อหุ้นคืนเนื่องจากความไม่แน่นอนดังกล่าว
• สทท. คาดจำนวน นทท. ต่างชาติเดินทางเข้าไทยปีนี้ 30 ล้านคน โดยคาด 1Q67 และ 4Q67 (ฤดูท่องเที่ยว) ไตรมาสละ 9 ล้านคน ส่วน 2Q67 และ 3Q67 (ไม่ใช่ฤดูท่องเที่ยว) ไตรมาสละ 6 ล้านคน
• เครดิตบูโร คาดหนี้ครัวเรือนยังเร่งตัวขึ้นต่อเนื่องในปี 2566 ที่ผ่านมา โดยหนี้เสียรถยนต์กว่า 2.3 แสนลบ. เพิ่มขึ้น 28% ขณะที่หนี้บ้านเป็นหนี้เสีย 1.8 แสนลบ. ค้างชำระหนี้ 1.78 แสนลบ. เพิ่มขึ้น 31%
• โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย ระบุปี 2566 ตลาดรถยนต์ในไทยลดลง 9% โดยรถกระบะลดลงถึง 32% ขณะที่ค่ายผู้ผลิตรถยนต์จากจีนมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นจาก 5% เป็น 11% โดยสัดส่วนการขายของรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) เติบโตขึ้นจาก 1% เป็น 10%
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นมอง SET อยู่ในภาวะเปราะบางและการฟื้นตัวยังอยู่ในกรอบจำกัด หลังคาดเงินเฟ้อจีน ม.ค. มีแนวโน้มหดตัว ขณะที่ กนง. มีมติคงดอกเบี้ยนโยบายวานนี้แม้ตัวเลขเงินเฟ้อเดือน ม.ค. จะหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 อีกทั้งดัชนี PMI ภาคบริการ ม.ค. ของสหรัฐ จีนและอียู จะชะลอตัวลง นอกจากนั้นผลประกอบการ 4Q66 ของ บจ. ไทยอาจออกมาอ่อนแอและยังขาดปัจจัยหนุนใหม่ ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงเน้น “ตั้งรับ สะสมหุ้นพื้นฐานรอการฟื้นตัวของตลาด”
ล็อคเป้าลงทุน
Weekly Portfolio : ช่วงสั้น SET อยู่ในภาวะเปราะบางและการฟื้นตัวยังอยู่ในกรอบจำกัด กลยุทธ์ลงทุนจึงคงเน้น “ตั้งรับ สะสมหุ้นพื้นฐานรอการฟื้นตัวของตลาด” ใน 3 ธีมหลัก ดังนี้
1) นักลงทุนที่กังวลตลาดผันผวนเชิงลบแนะนำลงทุนในหุ้นตั้งรับซึ่งคาดจะสามารถชนะตลาดได้ โดยมี Beta ต่ำกว่า 1, ราคาหุ้นปรับตัว YTD ดีกว่า SET เลือก ADVANC AOT BDMS TISCO
2) นักลงทุนระยะสั้น (3-4 เดือน) ที่ต้องการลงทุนในหุ้นปันผลคุณภาพดีในเทศกาลจ่ายเงินปันผลและขึ้น XD ในช่วง มี.ค.–พ.ค. นี้ โดยคาดให้ Div. Yield ปี 66 (หลังหักจ่ายระหว่างกาลแล้ว) เกิน 5% เลือก AP BCP KTB ขณะที่นักลงทุนระยะยาวที่ต้องการลงทุนในหุ้นปันผลคุณภาพดีเพื่อสร้างกระแสเงินสดที่ดีต่อเนื่อง โดยคาดให้ Div. Yield ปี 67 เกิน 5% เลือก AH AP BCP KTB PTT TTB
3) นักลงทุนระยะยาวแนะนำลงทุนสะสมแบบ DCA เนื่องจากมองเป็นจังหวะที่ดีที่สุด หลัง SET ปรับลงแรงจนความเสี่ยงลดลงไปมาก และราคาหุ้นอยู่ในระดับ Undervalue มาก โดยเลือก BBL BDMS BEM CPALL PTT และ SCC ซึ่งเป็นหุ้น SET100 ซึ่งเป็นผู้นำในแต่ละอุตสาหกรรม และมี ESG Ratings ระดับ AAA/AA, Valuation ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในรอบ 10 ปี และผลการดำเนินงานยังแข็งแกร่ง
ระยะสั้นแนะนำระมัดระวังหุ้นที่คาดผลประกอบการ 4Q66 อาจอ่อนแอกว่าตลาดคาด ได้แก่ BJC HMPRO GLOBAL ZEN AU CPF BTG AWC SIRI ส่วนระยะกลางแนะนำระมัดระวังหุ้นที่คาดได้รับผลกระทบจากภาวะเอลนีโญที่จะกระทบต่อกำลังซื้อภาคเกษตร ได้แก่ กลุ่มสินเชื่อ (MTC SAWAD) กลุ่มยานยนต์ (SAT STANLY) กลุ่มเครื่องดื่ม (CBG) รวมถึงกลุ่มเกษตรและอาหาร (CPF GFPT BTG)
DAILY TOP PICKS
SPRC หุ้น Laggard กลุ่มโรงกลั่น ส่วนต่างราคาน้ำมันเบนซินฟื้น ล่าสุดอยู่ที่ 19.5 ดอลลาร์/บาร์เรล +14%MoM และเป็นโรงกลั่นที่มีสัดส่วนน้ำมันเบนซินสูงสุด คาดกำไรปกติ 1Q67 ดีขึ้น QoQ จากการฟื้นตัวของ GRM คาดธุรกิจการตลาดน้ำมันช่วยหนุนให้ EBITDA ปรับตัวเพิ่มขึ้นด้วย
AP 4Q66 คาดกำไรสุทธิ 1.39 พันลบ. +21.1%YoY จากรายได้รวมที่เพิ่มขึ้นและอัตรากำไรขั้นต้นที่แข็งแกร่ง คาดปี 2566 กำไรทำนิวไฮ 5.9 พันลบ. และปี 2567 คาดกำไร 6.3 พันลบ. โต 7.4%YoY อีกทั้งมองเป็นหุ้นปันผลคุณภาพดี คาด Div. Yield ปี 66 (หลังหักจ่ายระหว่างกาลแล้ว) เกิน 5%
ข่าวเด่น