กรุงเทพฯ (23 กุมภาพันธ์ 2567) – วิจัยกรุงศรี โดย ดร.พิมพ์นารา หิรัญกสิ หัวหน้าทีมวิจัยเศรษฐกิจ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) แถลงภาพรวมเศรษฐกิจโลกในปี 2567 มีแนวโน้มเติบโตต่ำใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 3.1% พร้อมปรับคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยอยู่ที่ 2.7% ขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจในกลุ่มอาเซียน-5 ยังเติบโตดีต่อเนื่องอยู่ที่ 4.7%
เศรษฐกิจโลกในปี 2567 มีแนวโน้มเติบโตต่ำใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 3.1% ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีในช่วงก่อนโควิด-19 ที่เฉลี่ยราว 3.7% เนื่องจากผลเชิงบวกจากการเปิดประเทศและมาตรการกระตุ้นช่วงโควิด-19 จะทยอยหมดลง ขณะที่ผลเชิงลบจากหลายปัจจัยอาจบั่นทอนการเติบโต ทั้งการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ความเสี่ยงต่อภาวะชะงักงันทางเศรษฐกิจในยุโรป ภาวะภัยแล้งจากปรากฏการณ์เอลนีโญ่ (El Niño) สงครามรัสเซีย-ยูเครนและความตึงเครียดในตะวันออกกลาง การแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจซึ่งนำโดยสหรัฐฯ และจีน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานโลก และอาจทำให้กระแสโลกาภิวัตน์ที่แตกเป็นเสี่ยงเสี้ยว(Fragmented Globalization) สร้างแรงกระเพื่อมต่อการค้าและการลงทุนทั่วโลก นอกจากนี้ การใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยสูงในหลายประเทศในช่วงปี 2566-2567 จะกระทบต้นทุนและภาระหนี้ของภาครัฐและเอกชน ดังนั้น โดยภาพรวมแล้วเศรษฐกิจโลกยังมีความเสี่ยงที่จะซบเซา อย่างไรก็ตามแรงกดดันเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มบรรเทาลงในปี 2567 จะช่วยเปิดทางให้ประเทศแกนหลักสามารถปรับลดดอกเบี้ยเพื่อประคองมิให้เศรษฐกิจอ่อนแอยาวนาน
สำหรับเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเติบโตตามวัฎจักรเศรษฐกิจ แม้การฟื้นตัวจะยังไม่กระจายตัวและยังมีความไม่แน่นอนสูง โดยคาดว่าจะขยายตัวที่ 2.7% ในปี 2567 เร่งขึ้นจาก 1.9% ในปี 2566 ด้วยแรงส่งส่วนใหญ่จากปัจจัยภายในประเทศ ได้แก่ (i) การฟื้นตัวต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว จากมาตรการสนับสนุนของภาครัฐและความสามารถในการรองรับนักท่องเที่ยวที่ปรับดีขึ้น โดยคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเพิ่มขึ้นจาก 28.2 ล้านคนในปี 2566 เป็น 35.6 ล้านคนในปี 2567 แม้จะยังไม่กลับสู่ระดับก่อนเกิดการระบาดของโควิดที่ 40 ล้านคน (ii) การบริโภคภาคเอกชนยังคงเติบโตต่อเนื่องที่ 3.1% แรงหนุนจากการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวและการจ้างงานที่เพิ่มขึ้น กอปรกับยังมีผลเชิงบวกจากนโยบายของภาครัฐที่ช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพและมาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย (iii) การใช้จ่ายภาครัฐจะมีบทบาทมากขึ้นในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจตั้งแต่ไตรมาส 2 ของปี 2567 หลังจาก พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีวงเงิน 3.48 ล้านล้านบาท (เพิ่มขึ้น 9.3% จากปีงบฯ ก่อน) ได้รับอนุมัติ ซึ่งจะส่งผลให้การบริโภคและการลงทุนภาครัฐกลับมาขยายตัวที่ 1.5% และ 2.4% ตามลำดับ จากที่หดตัวในปี 2566 และ (iv) การลงทุนภาคเอกชนคาดว่าจะเติบโต 3.3% ตามการเติบโตของภาคบริการ และกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน รวมทั้งนโยบายภาครัฐในการส่งเสริมอุตสาหกรรมสำคัญๆ อย่างไรก็ตาม ภาคส่งออกยังคงมีแนวโน้มเติบโตต่ำเนื่องจากยังเผชิญแรงกดดันจากความอ่อนแอของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า แม้อาจมีปัจจัยเฉพาะที่หนุนการส่งออกในบางกลุ่ม เช่น วัฏจักรการฟื้นตัวของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ อานิสงส์จากการรักษาความมั่นคงทางด้านอาหาร และความร่วมมือทางเศรษฐกิจภายในภูมิภาค (Regionalization) เป็นต้น โดยคาดว่าการส่งออกของไทยจะขยายตัวเพียง 2.5% ในปี 2567 จากที่หดตัว -1.7% ในปีก่อนหน้า
แม้เศรษฐกิจโดยรวมทยอยฟื้นตัว แต่อัตราการเติบโตยังคงมีแนวโน้มต่ำกว่าระดับ 3% ต่อเนื่องนับตั้งแต่มีการระบาดของโรคโควิด-19 ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยทั้งปี 2567 คาดว่าจะยังอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่องที่ 1.1% ชะลอลงเล็กน้อยจาก 1.2% ในปีก่อน ปัจจัยดังกล่าวเพิ่มโอกาสที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงตั้งแต่ช่วงกลางปีเป็นต้นไป เพื่อสนับสนุนให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจมีความต่อเนื่อง
โดยภาพรวมแล้ว เศรษฐกิจไทยในปี 2567 จะมีแนวโน้มปรับดีขึ้น แต่อัตราการเติบโตยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับประเทศในภูมิภาคอาเซียน สำหรับปัจจัยภายในประเทศที่อาจกดดันการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ได้แก่ ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงท่ามกลางต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้น ผลกระทบจากภัยแล้งที่อาจรุนแรงขึ้น รวมทั้งปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น ประชากรสูงวัย การขาดแคลนแรงงาน และความสามารถในการแข่งขันที่ลดลงในหลายอุตสาหกรรม ส่วนปัจจัยภายนอกที่อาจสร้างความเสี่ยงในปี 2567 ได้แก่ ผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยในประเทศแกนหลักของโลกที่สูงสุดในรอบกว่าสองทศวรรษอาจกดดันเศรษฐกิจโลกและภาคการเงิน การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนท่ามกลางความเปราะบางในภาคอสังหาริมทรัพย์ การแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐฯ และจีน รวมถึงความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจขยายวงกว้างในระยะต่อไป
แนวโน้มเศรษฐกิจภูมิภาคอาเซียนในปี 2567
สำหรับปี 2567 คาดว่าอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในกลุ่มอาเซียน-5 จะอยู่ที่ 4.7% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่ขยายตัวประมาณ 4.2% โดยอุปสงค์ภายในประเทศยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ กอปรกับการส่งออกมีแนวโน้มฟื้นตัวเล็กน้อยตามการคลี่คลายของภาวะชะงักงันด้านอุปทาน กำลังซื้อที่กระเตื้องขึ้นจากเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลง และแรงกดดันจากสภาวะทางการเงินตึงตัวที่มีแนวโน้มลดลงในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ อย่างไรก็ตามความท้าทายต่อเศรษฐกิจภูมิภาคที่สำคัญ ได้แก่ ความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอก อาทิ เศรษฐกิจโลกที่ยังอ่อนแอ ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ และปรากฏการณ์เอลนีโญ่ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะเพิ่มความไม่แน่นอนต่อแนวโน้มการเติบโตของภูมิภาคผ่านช่องทางทั้งภาคการเงินและการค้า นอกจากนี้ นโยบายการคลังจะทวีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อรองรับความท้าทายด้านอุปทานที่มีแนวโน้มเกิดบ่อยขึ้น สำหรับนโยบายการเงิน อัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ ที่อยู่ในระดับสูง และความเสี่ยงเงินเฟ้อจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ผันผวน อาจทำให้ธนาคารกลางในภูมิภาคอาเซียนส่วนใหญ่ยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้จนถึงกลางปี 2567
ดร.พิมพ์นารากล่าวเพิ่มเติมว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2567 ยังคงขยายตัวต่ำและมีความไม่แน่นอนสูง แต่ยืนยันยังไม่วิกฤต เพียงแต่ต้องมองหาเครื่องยนต์ใหม่ๆ ที่เป็นรูปธรรม มาช่วยการฟื้นตัวเศรษฐกิจอีกแรง นอกเหนือจากพระเอกของปีนี้ “ภาคการท่องเที่ยว” ที่จะเป็นเครื่องยนต์หลักผลักดันเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวดีขึ้นแล้ว โดยคาดว่าปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวในประเทศไทยเพิ่มขึ้นเป็นนจำนวน 35.6 ล้านคน จากปีก่อน 28.2 ล้านคน โดยคาดจะเป็นนักท่องเที่ยวจีน 5 แสนคน ล่าสุด ณ เดือน มกราคม 2567 ตัวเลขชี้ให้เห็นว่านักเที่ยวจีนกลับมาแล้วประมาณ 40% แม้ไม่เท่าช่วงก่อนโควิด-19 โดยเข้ามาเที่ยวไทยเป็นอันดับ 1 ของจำนวนนักท่ิองเที่ยวต่างชาติทั้งหมด จากมาตรการ Visa-Free ซึ่งคาดว่าช่วงซัมเมอร์ปีนี้จะเข้ามาเยอะขึ้นอีก
นอกจากนี้ การใช้จ่ายภาครัฐ ที่เป็นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงแหลมฉบัง เขต 3 และละ รถไฟรางคู่ เป็นต้น หลัง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี วงเงิน 3.48 ล้านล้านบาท ได้รับอนุมัติจากรัฐสภา ก็จะเป็นเครื่องยนต์อีกตัวที่จะเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจตั้งแต่ไตรมาส 2/67 ของปีนี้ โดยการลงทุนภาครัฐจะกลับมาขยายตัวที่ 2.4% และจะส่งผลต่อเนื่องไปยังการลงทุนภาคเอกชนที่จะตามมาที่คาดปีนี้จะขยายตัว 3.1% รวมถึงการจ้างงาน การใช้จ่ายอุปโภคบริโภคภาคเอกชนจะปรับตัวดีขึ้นตามไปด้วยและเป็นกำลังช่วยดันเศรษฐกิจให้ฟื้นตัว ส่งผลต่อเงินทุนต่างประเทศไหลเข้ามากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในส่วนภาคการส่งออกยังมีแนวโน้มขยายตัวต่ำ จากแรงกดดันจากความอ่อนแอของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า โดยปีนี้คาดว่าการส่งออกของไทยจะขยายตัวได้ 2.5% จากปีก่อนที่ติดลบ 1.7% ขณะที่การนำเข้าในปีนี้คาดว่าจะขยายตัวได้ 4.2%
สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยปีนี้คาดจะอยู่ในระดับต่ำที่ 1.1% ชะลอลงเล็กน้อยจากปีก่อนที่อยู่ที่ 1.2% โดยมองว่า ปัจจัยดังกล่าวจะเป็นการเพิ่มโอกาสทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงตั้งแต่ช่วงกลางปีนี้เป็นต้นไป ซึ่งในตลาดการเงินมองว่า น่าจะลดดอกเบี้ยลง 2 ครั้ง และครั้งละ 0.25% ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจให้มีความต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยเสี่ยงหรือปัจจัยกดดันการเติบโตของเศรษฐกิจไทย โดยปัจจัยภายในประเทศ เช่น ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงท่ามกลางต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้น ผลกระทบจากภัยแล้งที่อาจรุนแรงขึ้น รวมทั้งปัญหาเชิงโครงสร้าง ทั้งประชากรสูงวัย การขาดแคลนแรงงาน และความสามารถในการแข่งขันที่ลดลงในหลายอุตสาหกรรม
สำหรับปัจจัยต่างประเทศ เช่น ผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยในประเทศแกนหลักของโลกที่สูงสุดในรอบกว่า 2 ทศวรรษ การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนท่ามกลางความเปราะบางในภาคอสังหาริมทรัพย์ การแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐและจีน รวมถึงความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจขยายวงกว้างในระยะต่อไป อาจกดดันเศรษฐกิจโลกและภาคการเงินให้มีความผันผวนได้ ซึ่งผลจากเศรษฐกิจโลกดังกล่าวจะกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ด้านค่าเงินคาดว่าปีนี้จะกลับไปแข็งค่าขึ้นที่เฉลี่ยประมาณ 34 บาทต่อดอลลาร์ คาดว่าภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง และการส่งออกที่ขยายตัวในปีนี้ จะทำให้มีรายรับเป็นเงินตราต่างประเทศเข้ามามาก และส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล หนุนให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น อย่างไรก็ตาม ค่าเงินบาทมีความผันผวนสูง จากการปรับนโยบายทางการเงินในหลายประเทศ โดยคาดธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) จะลดดอกเบี้ยแรงประมาณ 0.75-1.00% ซึ่งจะลดมากกว่าดอกเบี้ยนโยบายของไทย ซึ่งจะทำให้ส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยแคบลง ส่งผลต่อเงินทุนเคลื่อนย้ายไหลเข้าประเทศไทยมากขึ้นจึงทำให้เงินบาทกลับมาแข็งค่า
ต่อข้อซักถามกรณีที่เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4/66 ติดลบ และหากไตรมาส 1/66 มีโอกาสติดลบอีก และจะเป็น recession หรือไม่ ดร.พิมพ์นารากล่าวว่า ปัจจุบันนักเศรษฐศาสตร์บางคนบอก ไทยก้าวขาหนึ่งไปแล้วสำหรับ recession แต่ไม่ได้หมายถึงจะต้องก้าวอีกขาไป เพราะนิยามของ recession คือ การที่จีดีพีติดลบติดต่อกัน 2 ไตรมาส หากมาดูข้อมูลจากมาตรการต่างๆ ที่มีส่วนช่วยในปีนี้ มาตรการ Visa-Free ที่ให้นักท่องเที่ยว และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจปีนี้ ทั้ง Easy e-Receipt ก็น่าจะกระตุ้นการใช้จ่ายได้ส่วนหนึ่ง และไม่น่าจะทำให้เกิด Technical recession แต่ทั้งนี้คงต้องติดตามต่อไป เพราะขณะนี้เพิ่งผ่านมาเพียง 2 เดือนเท่านั้น
ข่าวเด่น