ทำไมพอมารู้ตัวอีกที เราก็กลายเป็นคนที่ไม่รู้จักตัวเองไปแล้ว ว่าแท้จริงเราเป็นใคร? ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร? มีความคิดเห็นในเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นยังไง? หรือเราต้องการสิ่งไหนกันแน่ในชีวิต? ข้อสงสัยพื้นฐานเหล่านี้กลับกลายเป็นคำถามที่ยากเสียจนทำให้เราไปไม่เป็น เพราะเราไม่สามารถหาคำตอบจากข้างในตัวเรามาตอบได้เลย ไม่ก็รู้สึกไม่มั่นใจในคำตอบที่เราแชร์ออกมา และเกิดความสงสัยตามมาตลอดว่า ใช่เหรอ? เรารู้สึกแบบนั้นจริงเหรอ? แต่หลายๆ ครั้งเสียงของคำถามเหล่านี้ก็เบาบางลงไป และแทนที่ด้วยเสียงจากโลกภายนอกที่ดังกว่าแทน ซึ่งมันดังฟังชัดเสียจนเราหยิบยกเอาเสียงข้างนอก หรือคำตอบของคนอื่น มาตอบคำถามของตัวเองแทนโดยไม่รู้ตัว
สำหรับใครที่กำลังเป็นและเผชิญหน้ากับสถานการณ์ดังกล่าว ที่อยู่ดีๆ ก็ไม่รู้จักตัวเองไปแล้ว อาจจะมีความรู้สึกว่าภายในตัวเรามันโปร่งโล่ง เหมือนไม่มีอะไรอยู่เลย มันทำให้เกิดความรู้สึกตามมาที่ทั้งไม่มั่นใจ ไม่แน่ใจ หรือไม่หนักแน่น ในการที่จะออกความคิดเห็น การตัดสินใจเรื่องต่างๆ ในชีวิต ไปจนถึงการลุกขึ้นมายืนกรานความต้องการตัวเอง จึงเป็นเรื่องที่มักเกิดขึ้นได้ว่า ความรู้สึกไม่มั่นคงเหล่านี้ อาจทำให้เราควานหาสิ่งยึดเหนี่ยวจากภายนอก และเมื่อเจอแล้วก็จะยึดติด หรือ Obsessed กับสิ่งเหล่านั้นเพื่อทำให้เรารู้สึกถึงความหมายในการมีชีวิตอยู่ของตัวเอง แทนที่จะกลับมาตามหาตัวเอง ตัวตนที่แท้จริงที่อยู่ภายในตัวเรามาตลอดตั้งแต่ต้น เพียงแค่เราต้องให้ตัวตนนั้นปรากฏชัดขึ้นมา ด้วยการอนุญาตให้เสียงจากข้างในตัวเรามันเปล่งเสียงดังออกมาอย่างชัดเจนที่สุด
เพิ่มเสียงของตัวเองให้ดังขึ้นด้วย Social Detox
และการที่จะทำให้เสียงของเรามันดังฟังชัดได้ ก็คือการที่ไม่ให้เสียงจากภายนอกอื่นๆ มาดังกว่าจนกลบเสียงของเราไปจนหมด จึงเป็นที่มาของการทำสิ่งที่เรียกว่า “Social Detox” หรือการลดการเชื่อมต่อกับสังคมภายนอก เพื่อให้มีโอกาสในการเชื่อมต่อกับตัวเอง ซึ่งจะทำให้เราสามารถฟังเสียงของตัวเองได้ชัดเจนมากขึ้นจนเราได้ค้นพบอารมณ์ ความคิดของเราในระดับลึกซึ้ง และรู้จักตัวเองได้อย่างชัดเจนมากขึ้น โดยที่เราอาจจะค้นพบว่า เรามีความเห็น มีความรู้สึก หรือความต้องการอะไรบางอย่างที่เราไม่เคยรู้มาก่อน เป็นการตระหนักรู้ หรือเป็นการได้คำตอบที่เรียกว่า เป็นที่ประจักษ์ กับคำถามที่ค้างคาในใจเรามาโดยตลอด ซึ่งหากย้อนกลับไปข้างต้น ที่เมื่อเราหันมาพิจารณาฟังเสียงของตัวเองจนได้รู้คำตอบของข้อสงสัยพื้นฐานเช่นที่ว่า เราคือใคร? มีความต้องการสิ่งไหน? หรืออยากเป็นอะไร? ได้แล้ว สิ่งที่จะตามมาคือ เราจะมีความมั่นคงมากขึ้น รู้สึกถึงความเป็นตัวเองได้อย่างชัดเจน เพราะเราได้อนุญาตให้ตัวตนของเราจริงๆ ได้เปล่งเสียงออกมาดังฟังชัด เสมือนได้อำนาจกลับมาควบคุมเส้นทางชีวิตตัวเองได้แล้วว่าควรจะเดินไปทางไหน
ในทางกลับกัน การที่เราให้ความสำคัญกับเสียงภายนอกมากกว่า ก็เปรียบได้กับการอนุญาตให้กับความคิดเห็นของสังคม สิ่งที่สังคมคิด หรือ Standard บางอย่างของสังคมนั้นมีอำนาจเหนือกว่าตัวเรา จึงเป็นที่มาที่เมื่อเราบริโภคสารจากภายนอกมากๆ อย่าง Social Media สื่อสังคมขนาดใหญ่ ที่เราสามารถเข้าไปเชื่อมต่ออย่างง่ายดายในโลกยุคดิจิทัลนี้ โดยให้ความสำคัญว่าคนอื่นคิดอย่างไรกับเรื่องต่างๆ ตอนนี้กระแสสังคมสนใจเรื่องอะไร มีความคิดเห็นไปทางไหน หรือต้องปฏิบัติตัวอย่างไรถึงจะตรงตาม Standard ของสังคม เสียงต่างๆ จากความคิดของคนอื่นที่เราอนุญาตให้มันเข้ามาในโสตประสาทจนกลบเสียงภายในตัว เมื่อนานวันเข้า อำนาจจากเสียงภายนอกก็จะทรงพลังมากขึ้นจนเรารู้สึกว่า “อยู่ ดีๆ ” ก็ไม่รู้แล้วว่าตัวเองเป็นใคร ซึ่งหากยังไม่ตอบข้อสงสัยพื้นฐานนี้ด้วยการกลับมาจูนเสียงภายในตัวเอง เราก็จะยิ่งถลำลึก อย่างการโหยหาสิ่งยึดเหนี่ยว เพื่อเติมเต็มตัวตนของตัวเองด้วย “สิ่งภายนอก” ซึ่งจะทำให้ตัวตนของเราหดเล็กลงเรื่อยๆ จนเสมือนกลับว่าเราได้กลายเป็นคนอื่นไปแล้ว
Take Your Power Back
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ตัวตนของเราก็ยังคงอยู่กับเรามาโดยตลอดไม่ได้หายไปไหน แค่ยังคงซุกซ่อนอยู่ในมุมไหนสักที่ เพียงแค่เราเลิกสนใจว่าคนอื่นจะคิดอย่างไรกับเรื่องต่างๆ ด้วยการทำ Social Detox ลดการเสพสื่อ โดยเฉพาะการเชื่อมต่อกับ Social Media ทั้งวัน และหันกลับมาให้ความสำคัญกับตัวเองมากขึ้น ลองพูดคุยกับตัวเองในแต่ละวันว่าเรารู้สึกอะไร คิดเห็นอะไรกับเรื่องในแต่ละวันที่เจอ โดยปราศจากอิทธิพลของเสียงข้างนอก อนุญาตให้ตัวตนของเราแสดงตัวออกมาผ่านการยอมรับตัวเอง และการทวงคืนอำนาจจากที่เราเคยให้ไปกับสิ่งภายนอกกลับมาอย่างสมบูรณ์ และในที่สุดเราก็จะตอบคำถามนี้ได้เองว่า
ตัวตนที่แท้จริงของเราเป็นใคร?
ข่าวเด่น