ในช่วงที่เราทุกคนยังเป็นเด็ก หลายคนคงจะเจอคำถามสุดคลาสสิคอย่าง “โตขึ้นอยากเป็นอะไร” คำตอบที่ได้จากเราในตอนนั้น บ้างก็เป็นสิ่งที่ชื่นชอบ หรือเป็นคนที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับเรา เช่น อยากเป็น Ironman อยากเป็นเจ้าหญิง อยากเป็นนักบินอวกาศ อยากไปเหยียบดวงจันทร์ ฯลฯ ซึ่งในช่วงระยะเวลาดังกล่าว ชุดความคิดที่ว่า “ฝันมันใหญ่เกินไป” หรือคำว่า “ไม่น่าจะเป็นไปได้” ไม่เคยมีอยู่ในสารบบของเด็กคนนั้นมาก่อน
แต่พอเมื่อเราโตขึ้น จากทั้งการสั่งสอนในแต่ละครอบครัว และการมีปฏิสัมพันธ์ในวงสังคมรอบตัว ก็ได้หล่อหลอมกรอบความคิดและทัศนคติ ที่กำหนดทิศทางในทุกจังหวะของชีวิตที่เรากำลังเดินอยู่ในตอนนี้ ซึ่งหากกลับมาถามคำถามเดิมในตอนนี้ว่า “เราอยากเป็นอะไร” หรือโทนในความหมายเดียวกันว่า “เป้าหมายในชีวิตของเราคืออะไร” คำตอบที่ได้อาจต้องใช้การทบทวนเป็นระยะเวลานาน หรือไม่ก็เป็นคำตอบที่ผิดไปจากตอนเด็กอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากเราได้บ่มเพาะข้อจำกัดจากทัศนคติของตัวเอง ที่ใครสักคนอาจ Code ใส่หัวของเราว่า ทำไม่ได้หรอก เกินตัว ฝันใหญ่ไปไหม? หรือ เขาทำกันไปหมดแล้ว ไม่มีที่สำหรับเราแล้ว ซึ่งคำพูดเหล่านี้มันได้เข้าไปฝังอยู่ในระดับจิตใต้สำนึก ที่เราเผลอเอามันมาใช้ตัดสินใจเรื่องในชีวิตประจำวันอย่างไม่รู้ตัว
ลักษณะดังกล่าว คือการมี Scarcity Mindset หรือชุดความคิดแบบขาดแคลน ซึ่งแตกต่างจาก Abundance Mindset หรือหลักคิดที่เชื่อว่า ยังมีทรัพยากรอีกมากมายที่เพียงพอสำหรับเรา เพียงพอสำหรับทุกคน เป็นแนวคิดที่เชื่อว่ายังคงมีโอกาสอยู่รอบตัวเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการมีทัศนคติในเชิงที่ว่า
“เรามีโอกาสในการทำเงินอีกมาก”
“เชื่อว่ามันยังมีช่องทางที่ทำให้เราสร้างรายได้เพิ่มขึ้นได้”
“ยังมีสิ่งที่ดีกว่ารอเราอยู่”
คำพูดเหล่านี้ เป็นคำพูดเชิงบวก ที่สะท้อนออกมาจาก ‘ทัศนคติที่เป็นบวก’ จาก Mindset ที่มองตัวเองเป็นฝ่าย Active กล่าวคือ เป็นฝ่ายที่สามารถลุกขึ้นมาแล้วกำหนดชีวิตตามที่ตัวตนตัวเองต้องการได้ เพราะ Abundance Mindset เป็นทัศนคติที่ไกด์ไลน์เราถึง Posibilities หรือเปิดประตูสู่ความเป็นไปได้ต่างๆ ที่กระตุ้นให้เราใช้ความคิดสร้างสรรค์ ดีไซน์หนทางที่จะนำไปสู่ Goals ที่เราตั้งเอาไว้ได้
ต่างจาก Scarcity Mindset ที่เรายึดติดแต่ในสิ่งที่เราขาด มองว่าสิ่งนั้นมันหาได้ยาก หรือเป็นไปไม่ได้ เช่นเดียวกับชุดความคิดที่เราขบคิดถึงข้อจำกัดก่อนจะตอบได้ว่า เราอยากเป็นอะไรในตอนโต โดยลักษณะความคิดที่มุ่งเน้นแต่ความขาดแคลนนี้ บทบาทของเราคือ Passive หรือ Victim มีทัศนคติว่า “เราเป็นเหยื่อ” ในทุกสถานการณ์ เช่น ในเชิงคำพูดที่ว่า “ทำไมเรื่องพวกนี้ต้องเกิดขึ้นกับเราตลอด” และยอมรับสภาพของสิ่งร้ายๆ ที่กำลังเกิดขึ้นตัวเอง แต่หากกลับกัน คนที่มี Abundance Mindset เมื่อเจอกับปัญหา พวกเขาจะเล่นบทบาทในการเป็นฝ่าย Active หรือผู้คุมเกม ที่เผชิญหน้ากับปัญหา ขบคิดด้วยความคิดสร้างสรรค์ของตัวเอง และลงมือทำเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว ด้วยพื้นฐานของ Mindset ที่มองเห็นโอกาสและความเป็นไปได้ต่างๆที่มีอยู่มากมาย
Abundance Mindset ทำให้ชีวิตเราดีขึ้นในแง่มุมไหนบ้าง?
1. ความเป็นไปได้ในชีวิต แทนที่จะจมอยู่กับปัญหา เราจะมองหาโอกาสที่มีอยู่รอบตัวแทน ซึ่งเราจะสามารถเจอเข้ากับ Solution ต่างๆ และแก้ไขปัญหาได้ในที่สุด เช่น เมื่อเราอยากลองเป็น Content Creator แต่มีงบจำกัด ก็จะมองหาทรัพยากรที่ตัวเองมีอยู่รอบตัว (ตามวลีอย่าง Doing with what I have) ประหยัดต้นทุนด้วยการซื้ออุปกรณ์มือ 2 และค่อยวางแนวทางการพัฒนาช่องเพื่อเพิ่มรายได้ เป็นต้น
2. การแบ่งปัน ด้วยความคิดที่เชื่อว่ามีทรัพยากรเพียงพอสำหรับทุกคน จะทำให้เราสามารถแบ่งปันความสำเร็จและสิ่งต่างๆ ซึ่งเป็น 1 ในจุดเริ่มต้นของการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น สามารถสร้าง Connection มีการช่วยเหลือพึ่งพาซึ่งกันและกัน ซึ่งเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ (เพราะเราไม่สามารถทำทุกอย่างได้ด้วยตัวคนเดียวหรือถนัดในทุกแขนงวิชา)
3. การเติบโตอย่างต่อเนื่อง เราจะมีทัศนคติที่เปิดกว้าง ที่พร้อมรับต่อการเรียนรู้และการพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นเสมอ
Abundance Mindset เป็นหลักแนวคิดพลังบวกที่ปลดล็อกเราจากความเครียด ความรู้สึกไม่พอใจ ไปสู่โอกาสดีๆ ที่มีอยู่มากมายในชีวิต ซึ่งไม่เพียงแต่เปลี่ยนแปลงวิธีที่เรามองโลกและตอบสนองต่อความท้าทายในชีวิตเท่านั้น แต่ยังเปลี่ยนแปลงวิธีที่เรามองตัวเองและคนอื่นๆ ที่ก่อให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดี และเป็นมวลพลังบวกที่จะคอยขับเคลื่อนชีวิตของเราไปตามเป้าหมายที่เราต้องการ “จริงๆ” ได้ ไม่ใช่เป้าหมายที่อ้างอิงจากเสียงภายนอก
ข่าวเด่น