คาด SET เคลื่อนไหวภายในกรอบ โดยราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นช่วยหนุนดัชนีผ่านกลุ่มพลังงาน อย่างไรก็ตาม คาดนักลงทุนในตลาดยังมีความระมัดระวังก่อนการประชุมเฟด ทำให้คาดกรอบบนยังถูกจำกัดที่แนวต้าน 1395-1400 จุด ขณะที่กรอบล่างอยู่ที่บริเวณแนวรับ 1380 จุด หากต่ำกว่า เริ่มเป็นสัญญาณลบ โดยมีแนวรับถัดไปที่ 1370 จุด
ประเด็นสำคัญ
• จีนรายงานตัวเลขการผลิตอุตสาหกรรม-ยอดค้าปลีก-ยอดการลงทุนสินทรัพย์ถาวร เดือน ม.ค.-ก.พ. เพิ่มขึ้นสูงกว่าคาด สะท้อน ศก. จีนฟื้นตัวหลังจากรัฐบาลจีนประกาศใช้มาตรการกระตุ้น ศก. ปลายปีที่แล้ว
• ราคาน้ำมัน WTI และ Brent ปรับขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่ ต.ค. 66 หลังอิรักเตรียมลดการส่งออกน้ำมันดิบลงสู่ 3.3 ล้านบาร์เรล/วันในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ เพื่อชดเชยการผลิตเกินโควตาของ OPEC+
• หุ้นอัลฟาเบท +4.4%DoD หลังแอปเปิ้ลกำลังเจรจากับกูเกิลเพื่อนำชุดโมเดล AI Gemini มาใช้ใน iPhone ทำให้ความเป็นพันธมิตรด้านระบบ Search ของทั้งสองฝ่ายแข็งแกร่งขึ้น
• สนพ. คาดความต้องการใช้พลังงานประเทศปีนี้โต 3.1% อานิสงส์ส่งออก-ท่องเที่ยวฟื้นตัว-ฤดูร้อนอุณหภูมิสูงขึ้น ส่วนปีที่แล้วโต 0.8% ภาคอุตสาหกรรมใช้ไฟลดลง 2.6% นอกจากนี้คาดแผนพลังงานชาติประกาศใช้ ก.ย.นี้ โดยจะเปิดรับฟังความคิดเห็นสาธารณะ 5 แผนในต้นเดือน เม.ย. ซึ่งแผน PDP จะต้องมีพลังงานหมุนเวียน 50% ในปี 2080
• ผู้บริหารทีวีดิจิทัลเข้าพบ กสทช. เสนอ 2 ข้อเรียกร้องทีวีดิจิทัล แก้กฎหมายยกเลิกประมูลช่อง หลังใบอนุญาตหมดปี 2572 พร้อมทั้งคัดค้านประมูลคลื่น 3500 MHz คาดกระทบธุรกิจ-ยอดคนดูลดลง
• ตลท. ระบุปี 2566 บจ. ในตลาดหุ้นไทย (SET และ mai) จ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นรวมกว่า 5.93 แสนลบ. โดยช่วง 10 ปีที่ผ่านมามูลค่าการจ่ายเงินปันผลเติบโตเฉลี่ยปีละ 4.49% ทั้งนี้ 3 หมวดธุรกิจที่มีการจ่ายเงินปันผลสูงสุดปี 2566 ได้แก่ พลังงาน-ธนาคาร-ICT
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นมองตลาดหุ้นไทยมีโอกาสฟื้นตัวต่อเนื่องและลุ้นกลับมายืนเหนือ 1400 จุด โดยในประเทศจะมีความคาดหวังต่อการเบิกจ่ายงบประมาณ ขณะที่ต่างประเทศคาดว่าการประชุมนโยบายการเงินของ FED จะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายและมีแนวโน้มปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในช่วงครึ่งปีหลัง ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy”
ล็อคเป้าลงทุน
ช่วงสั้นมองตลาดหุ้นไทยมีโอกาสฟื้นตัวต่อเนื่องและลุ้นกลับมายืนเหนือ 1400 จากความคาดหวังเฟดจะส่งสัญญาณหรือท่าทีปรับลดดอกเบี้ยในเดือน มิ.ย. นี้ ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ใน 4 ธีมหลัก ดังนี้
1) หุ้นเก็งกำไรจากราคาหุ้น Laggard, มีแนวโน้มจ่ายปันผลดีและให้ Div. payout ratio เพิ่มขึ้น และมีโอกาสซื้อขายด้วย PER Multiple สูงขึ้น เลือก กลุ่มแบงก์ (BBL KBANK) กลุ่มอสังหา (AP) กลุ่มสื่อสาร (ADVANC)
2) หุ้นเก็งกำไรเชิงเทคนิคหลังราคหุ้น Breakout Downtrend และเริ่มเห็น NVDR พลิกกลับมา Net Buy ในเดือน มี.ค. เลือก IVL GULF BDMS
3) หุ้นเก็งกำไรจากคาดได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของการผลิต (โดยเฉพาะจีน) และผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ซึ่งสอดคล้องกับ Top Pick 2Q67 เลือก AOT GFPT GULF KCE SCGP
4) นักลงทุนระยะยาวแนะนำลงทุนสะสมแบบ DCA หลังราคาหุ้นอยู่ในระดับ Undervalue มาก และผลการดำเนินงานยังแข็งแกร่ง เลือก BBL BDMS BEM CPALL PTT และ SCC
DAILY TOP PICKS
BEM มองกำไรมีโมเมนตัมฟื้นตัวดีสุดในกลุ่มขนส่งทางบก อีกทั้งยังเห็นปัจจัยกระตุ้นราคาหุ้นหลายอย่างที่จะทยอยเข้ามา เช่น การปรับขึ้นค่าโดยสาร MRT ซึ่งคาดจะประกาศในช่วงต้นเดือน มิ.ย. 67, ข้อสรุปโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตก และโครงการก่อสร้างทางด่วนชั้นที่ 2 (double deck) ใน 2H67
PTT กำไร 1Q67 คาดดีขึ้น QoQ จาก GRM ที่สูงขึ้นและผลกระทบขาดทุนสินค้าคงเหลือที่ลดลง อีกทั้งมองธุรกิจที่หลากหลายจะช่วยสร้างเสถียรภาพให้กับความสามารถทำกำไรในระยะยาว ขณะที่ Valuation ไม่แพง โดยเทรดที่ PBV 0.8 เท่า และ PER 9.1 เท่า เทียบกับค่าเฉลี่ย 10 ปีที่ 1.3 เท่า และ 14.6 เท่า ตามลำดับ
ข่าวเด่น