คาด SET แกว่งในกรอบ โดยกรอบบนยังถูกจำกัดบริเวณแนวต้าน 1390 และ 1395 จุด ตามลำดับเนื่องจากนักลงทุนในตลาดยังมีความระมัดระวังก่อนการประชุมเฟด ขณะที่กรอบล่างอยู่ที่บริเวณแนวรับ 1375 และ 1370 จุด ตามลำดับ โดยคาดกลุ่มพลังงานประคองดัชนีตามแนวโน้มดีของราคาน้ำมัน
ประเด็นสำคัญ
• จับตาผลการประชุมนโยบายการเงินของ Fed ในวันนี้ โดย FedWatch Tool บ่งชี้ นลท. ให้น้ำหนัก 99% ที่ Fed จะคง ดบ. ที่ระดับ 5.25-5.50% แต่ให้น้ำหนักเพียง 59% ที่คาดว่า Fed จะลด ดบ. ในเดือน มิ.ย. ลดลงจาก 69% ในช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา
• BOJ มีมติปรับขึ้น ดบ. นโยบายขึ้นสู่ระดับ 0 ถึง 0.1% จากระดับ -0.1% เป็นการปรับขึ้นครั้งแรกในรอบ 17 ปี พร้อมยกเลิกนโยบายควบคุมเส้นอัตราผลตอบแทน (YCC) ซึ่งถือเป็นการยุติการใช้นโยบาย ดบ. ติดลบที่ดำเนินการมาเป็นเวลานาน
• รัสเซียจะเพิ่มการส่งออกน้ำมันจากท่าเรือตะวันตกในเดือน มี.ค. เกือบ 2 แสนบาร์เรล/วัน จากเป้ารายเดือนที่ 2.15 ล้านบาร์เรล/วัน ท่ามกลางเหตุโจมตีด้วยโดรนของยูเครนต่อโรงกลั่นน้ำมันรัสเซีย ซึ่งทำให้กำลังผลิตหายไปแล้วราว 6 แสนบาร์เรล/วัน
• กองทุนความมั่งคั่งแห่งซาอุดิอาระเบีย เตรียมลงทุนสร้างเทคโนโลยีเพื่อผลักดัน ปท. ให้เป็นศูนย์กลางด้าน AI นอกเหนือจากสหรัฐ
• หุ้น NVIDIA ปรับขึ้นกว่า 1%DoD หลังเปิดตัว Blackwall B200 ชิป AI รุ่นใหม่ที่มีความเร็วกว่าเดิม 30 เท่า และจะทำการจัดส่งภายในปีนี้
• ก. คลังระบุผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลต่ำกว่าเป้า เป็นการส่งสัญญาณว่า ศก. อยู่ในภาวะชะลอตัว จากความสามารถในการซื้อที่ลดลง หลัง ดบ. ยังสูงต่อเนื่อง ทำให้รายได้จากภาษีของรัฐบาลลดลงตามไปด้วย
• นายกฯ เตรียมนัดประชุม คกก. นโยบายโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ในอีก 1-2 สัปดาห์ข้างหน้า จากนั้นจะหารือกับพรรคร่วมรัฐบาล ก่อนที่จะนำเข้าสู่ที่ประชุมชุดใหญ่ พร้อมยืนยันว่า ปชช. จะได้เงินจากโครงการนี้
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นมองตลาดหุ้นไทยมีโอกาสฟื้นตัวต่อเนื่องและลุ้นกลับมายืนเหนือ 1400 จุด โดยในประเทศจะมีความคาดหวังต่อการเบิกจ่ายงบประมาณ ขณะที่ต่างประเทศคาดว่าการประชุมนโยบายการเงินของ FED จะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายและมีแนวโน้มปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในช่วงครึ่งปีหลัง ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy”
ล็อคเป้าลงทุน
ช่วงสั้นมองตลาดหุ้นไทยมีโอกาสฟื้นตัวต่อเนื่องและลุ้นกลับมายืนเหนือ 1400 จากความคาดหวังเฟดจะส่งสัญญาณหรือท่าทีปรับลดดอกเบี้ยในเดือน มิ.ย. นี้ ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ใน 4 ธีมหลัก ดังนี้
1) หุ้นเก็งกำไรจากราคาหุ้น Laggard, มีแนวโน้มจ่ายปันผลดีและให้ Div. payout ratio เพิ่มขึ้น และมีโอกาสซื้อขายด้วย PER Multiple สูงขึ้น เลือก กลุ่มแบงก์ (BBL KBANK) กลุ่มอสังหา (AP) กลุ่มสื่อสาร (ADVANC)
2) หุ้นเก็งกำไรเชิงเทคนิคหลังราคหุ้น Breakout Downtrend และเริ่มเห็น NVDR พลิกกลับมา Net Buy ในเดือน มี.ค. เลือก IVL GULF BDMS
3) หุ้นเก็งกำไรจากคาดได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของการผลิต (โดยเฉพาะจีน) และผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ซึ่งสอดคล้องกับ Top Pick 2Q67 เลือก AOT GFPT GULF KCE SCGP
4) นักลงทุนระยะยาวแนะนำลงทุนสะสมแบบ DCA หลังราคาหุ้นอยู่ในระดับ Undervalue มาก และผลการดำเนินงานยังแข็งแกร่ง เลือก BBL BDMS BEM CPALL PTT และ SCC
DAILY TOP PICKS
PTTEP ช่วงสั้นคาดได้อานิสงส์ราคาน้ำมันดิบปรับขึ้นสูงสุดรอบ 4 เดือน โดย Brent +0.56%DoD ปิดที่ $87.38/bbl และ WTI +0.91%DoD ปิดที่ $83.47/bbl หลังกังวลอุปทานน้ำมันตึงตัวจากยูเครนโจมตีโรงกลั่นน้ำมันของรัสเซีย ขณะที่อุปสงค์จากจีนและสหรัฐแข็งแกร่ง แนะนำซื้อเก็งกำไรวันนี้ที่ราคาไม่เกิน 155 บ.
CPALL 1Q67TD ยอดขายสาขาเดิมโตเด่นสุดในกลุ่ม คาดหนุนให้ 1Q67 กำไรจะเติบโต YoY ขณะที่ปี 2567 คาดกำไรเติบโตต่อเนื่อง 17.4%YoY สู่ระดับ 2.1 หมื่นลบ. หนุนจากยอดขายและมาร์จิ้นที่ดีขึ้นจากธุรกิจ CVS และส่วนแบ่งกำไรที่ดีขึ้นของ CPAXT ซึ่งยังไม่ได้รวม upside จากมาตรการกระตุ้น ศก. ใหม่ๆ
ข่าวเด่น