“บมจ.บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส หรือ BGC” คาดยอดขายโค้งแรกปีนี้เติบโต รับอานิสงส์ต้นทุนพลังงานและวัตถุดิบลด ผลักดันอัตรากำไรขั้นต้นทั้งปีเพิ่มอยู่ที่ประมาณ 14-15% และการรับรู้รายได้เต็มปีของบริษัท ไพร์ม แพ็คเกจจิ้ง จำกัด (Prime) ที่ซื้อเข้ามาในไตรมาส 2/2566 โดยรายได้ของ Prime เป็นไปตามคาดที่ประมาณ 100 ล้านบาทต่อไตรมาส หนุนรายได้จากการขายของธุรกิจบรรจุภัณฑ์อื่นพุ่ง
นายศิลปรัตน์ วัฒนเกษตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ”) ผู้ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์แก้วและบรรจุภัณฑ์อื่นรายใหญ่ในไทยและภูมิภาคอาเซียน เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ คาดว่ามีแนวโน้มการเติบโตดีขึ้นจากยอดขายในช่วง 2 เดือนแรกที่ผ่านมาตัวเลขออกมาดีกว่าเป้าหมาย และประเมินภาพรวมยอดขายทั้งปี 2567 แม้มีความท้าทายจากสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว แต่ได้รับอานิสงส์จากต้นทุนการผลิตลดลงทั้งจากราคาพลังงานและวัตถุดิบอยู่ในระดับที่เหมาะสมโดยเฉพาะราคาโซดาแอช มองการฟื้นตัวของอัตรากำไรขั้นต้นในปี 2567 คาดว่าจะอยู่ที่ระดับที่ดีกว่าปีที่ผ่านมาที่ 13.5%
สำหรับแผนธุรกิจบรรจุภัณฑ์แก้วในปีนี้ บริษัทฯ มีการคัดเลือกผลิตบรรจุภัณฑ์ที่มีอัตรากำไรที่ดี เน้นให้ความสำคัญในการขยายตลาดส่งออก และการหาลูกค้าใหม่ พร้อมกับการพัฒนานวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าและพฤติกรรมการใช้บรรจุภัณฑ์ที่เปลี่ยนไปในอนาคต
นอกจากนี้ในส่วนของธุรกิจบรรจุภัณฑ์อื่นมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี โดยเฉพาะบริษัท ไพร์ม แพ็คเกจจิ้ง จำกัด (Prime) ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มที่เข้าไปซื้อหุ้น 75% ในเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อนและม้วนฟิล์มในประเทศไทย เพื่อขยายการลงทุนในธุรกิจ Flexible Packaging มีรายได้เป็นไปตามคาดประมาณ 100 ล้านบาทต่อไตรมาส ทั้งนี้ ส่วนต่อขยายหรือ Prime B ได้เริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ (COD) ไปแล้วในช่วงไตรมาส 4/2566 และคาดว่าปีนี้จะเข้ามาช่วยเพิ่มยอดขายให้กับกลุ่มธุรกิจบรรจุภัณฑ์อื่นอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ดี บริษัทฯ มีการบริหารจัดการต้นทุนผ่านการเจรจาต่อรองราคาและขยายจำนวนคู่ค้าเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น การปรับสูตรการผลิตเพื่อลดต้นทุนการผลิตต่อหน่วย การปรับใช้พลังงานทางเลือก (Alternative Energy) ที่เหมาะสม เพื่อบริหารต้นทุนให้มีประสิทธิภาพสูงสุดและสามารถยืดหยุ่นได้ตามสถานการณ์ ควบคู่ไปกับการเจรจาปรับราคาสินค้ากับลูกค้า รวมไปถึงการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตโดยการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในกระบวนการผลิต
สำหรับการลงทุนในปีนี้ บริษัทฯ มีแผนการซ่อมแซมเตาหลอมแก้ว (Cold repair) ที่โรงงานจังหวัดปราจีนบุรี เพื่อรองรับโอกาสจากเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว สำหรับธุรกิจใหม่จากการควบรวมกิจการยังคงพิจารณาอย่างต่อเนื่องตามความเหมาะสมและสอดคล้องกับกลยุทธ์ของธุรกิจในระยะยาว เพื่อเพิ่มศักยภาพและโอกาสเติบโตของกลุ่มบริษัทฯ
“BGC พร้อมเดินหน้ากลยุทธ์การเติบโตด้วย Total Packaging Solutions ที่ให้บริการบรรจุภัณฑ์กับลูกค้าอย่างครบวงจร เราไม่เพียงแค่รับผลิตบรรจุภัณฑ์แก้ว แต่ยังนำเสนอบริการอื่นให้แก่ลูกค้าเพื่อเลือกซื้อฉลากหรือบรรจุภัณฑ์อื่นด้วยเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นเราจะเป็น One Stop Service ให้กับลูกค้า นอกจากนี้ เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงของธุรกิจและสร้าง New S-Curve บริษัทฯ ยังได้มีการลงทุนในธุรกิจอื่นที่เกี่ยวเนื่องกัน โดยช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้เข้าไปลงทุนในบริษัท บางกอกแคน แมนนูแฟคเจอริ่ง จำกัด ราว 5% เพื่อเข้าไปเรียนรู้ และหากมีโอกาสที่เหมาะสมก็จะพิจารณาซื้อหุ้นเพิ่มได้” นายศิลปรัตน์กล่าว
จากกลยุทธ์ดังกล่าวคาดว่าในอีก 3-4 ปีข้างหน้า สัดส่วนรายได้ของ BGC จะเปลี่ยนแปลงไป จากปัจจุบันที่ยอดขายบรรจุภัณฑ์แก้วอยู่ที่ 85% และยอดขายบรรจุภัณฑ์อื่นที่ 15% โดยสัดส่วนยอดขายจะเปลี่ยนเป็นบรรจุภัณฑ์แก้ว 60% และยอดขายบรรจุภัณฑ์อื่นที่ 40% สอดคล้องไปกับการประเมินตลาดบรรจุภัณฑ์ในอนาคต โดยปี 2567 คาดว่าตลาดบรรจุภัณฑ์แก้วจะเติบโตเล็กน้อย ขณะที่บรรจุภัณฑ์ที่ขยายตัวได้ดีอย่างถุงเพาซ์ ซึ่งใช้เป็นถุงสำหรับบรรจุในหลายกลุ่มสินค้า เช่น ขนม อาหาร น้ำยาปรับผ้านุ่ม แชมพู น้ำยาล้างจาน หรืออาหารสัตว์เลี้ยง
ข่าวเด่น