คาด SET แกว่งในกรอบ โดยกรอบล่างอยู่ที่แนวรับ 1375 และ 1370 จุด ตามลำดับ เป็นจุดรองรับ ส่วนกรอบบนการฟื้นตัวยังถูกจำกัดที่แนวต้าน 1385 และ 1390 จุด ตามลำดับ ขณะที่นักลงทุนในตลาด รอดูตัวเลข GDP และ ตัวเลข PCE ของสหรัฐ ในวันนี้ และพรุ่งนี้ ตามลำดับ เพื่อประเมินทิศทางดอกเบี้ยเฟด
ประเด็นสำคัญ
• คริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ ผู้ว่าการ Fed และหนึ่งในผู้กำหนด ดบ. กล่าวว่า ไม่มีการเร่งรีบในการปรับลด ดบ. หลังข้อมูลเงินเฟ้อยังน่าผิดหวัง โดยต้องการดูข้อมูลเงินเฟ้อที่ดีขึ้นอย่างน้อย 2-3 เดือน และเน้นย้ำว่าข้อมูลศก. ล่าสุดจะเป็นตัวชะลอ หรือลดจำนวนการลด ดบ. ที่เกิดขึ้นในปีนี้
• ทางการจีนรายงานกำไรของบริษัทในภาคอุตสาหกรรม ม.ค.-ก.พ. ปรับตัวขึ้น 10.2%YoY ส่งสัญญาณ ศก. จีนปี 2567 ฟื้นตัว หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีการเปิดเผยข้อมูล ศก. ที่ดีเกินคาดหลายรายการ
• วานนี้ ปธน. สี จิ้นผิง ได้พบปะกับกลุ่มผู้บริหารธุรกิจชาวอเมริกันที่กรุงปักกิ่ง โดยจีนพยายามรักษาความสัมพันธ์กับสหรัฐให้ดำเนินต่อไปอย่างราบรื่น
• ผู้แทนการค้าจีนยื่นฟ้องสหรัฐใน WTO กรณีเลือกปฏิบัติต่อ EV จากจีน บิดเบือนการแข่งขันที่เป็นธรรม ขณะที่ สรท. กังวลอาจลุกลามเป็นสงครามการค้ารอบ 2
• EIA รายงานสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐสัปดาห์ที่แล้วเพิ่มขึ้น 3.2 ล้านบาร์เรล สวนทางที่คาดว่าจะลดลง 1.3 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 1.3 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่คาดว่าจะลดลง 1.6 ล้านบาร์เรล
• กกพ. มีมติเห็นชอบค่า Ft งวด พ.ค.-ส.ค. 67 คงเดิมที่ 39.72 สตางค์/หน่วย เมื่อรวมกับค่าไฟฟ้าฐานที่ 3.7833 บ./หน่วยแล้ว ทำให้ค่าไฟฟ้าเรียกเก็บเฉลี่ย (ไม่รวม VAT) คงเดิมที่ 4.1805 บ./หน่วย
• นายกฯ มอบหมายให้ ก. คลัง และสำนักงบประมาณ มาเสนอความเป็นไปได้ของแหล่งเงินที่จะนำมาใช้ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ยืนยัน 10 เม.ย. จะได้ความชัดเจนทั้งหมด และจะนำเข้าสู่ที่ประชุม ครม. ใน เม.ย. เช่นกัน
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นมองตลาดหุ้นไทยมีโอกาสฟื้นตัว หลังเศรษฐกิจจีนส่งสัญญาณฟื้นตัวในภาคการผลิตและการลงทุน ซึ่งอาจส่งผลบวกให้ดัชนีภาคอุตสาหกรรม (MPI) ของไทยมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น จากเดือน ม.ค. ที่ปรับตัวลดลง 2.9%YoY ขณะที่เฟดส่งสัญญาณปรับลดดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้เป็นไปตามตลาดคาด ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy”
ล็อคเป้าลงทุน
ช่วงสั้นมองตลาดหุ้นไทยมีโอกาสฟื้นตัว หลังข้อมูลเศรษฐกิจจีนดีขึ้นและเฟดส่งสัญญาณผ่อนคลายการเงิน ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ใน 3 ธีมหลัก ดังนี้
1) หุ้นเก็งกำไรหลังราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับขึ้นทะลุ US$85 /bbl จากกังวลเศรษฐกิจถดถอยลดลงหนุนอุปสงค์ ด้านอุปทานได้ผลบวกจากสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างรัสเซีย-ยูเครน โดยผู้รับความเสี่ยงได้สูง แนะนำ Trading PTTEP (ราคาน้ำมันระยะยาวเพิ่มทุก US$1 /bbl บวกต่อราคาเป้าหมาย 5 บาทต่อหุ้น) และ TOP (ค่าการกลั่นและกำไรสต๊อก) ขณะที่มองลบต่อกลุ่มค้าปลีกน้ำมัน (ค่าการตลาดแคบ) และกลุ่มสายการบิน (ต้นทุนเพิ่ม)
2) หุ้นเก็งกำไรจากภาวะดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มกำลังจะปรับตัวลง เลือก กลุ่มไฟแนนซ์ (TIDLOR) กลุ่มสาธารณูปโภค (GULF) กลุ่มขนส่ง (AOT)
3) หุ้นเก็งกำไรเชิงเทคนิคหลังราคาหุ้น Breakout Downtrend และเริ่มเห็น NVDR พลิกกลับมา Net Buy ในเดือน มี.ค. เลือก IVL GULF PTTGC GPSC
DAILY TOP PICKS
ERW มองราคาหุ้นปรับลง 12%YTD สะท้อนถึงมุมมองเชิงลบที่ตลาดมีต่อการที่บริษัทเข้าไปลงทุนในญี่ปุ่นเมื่อไม่นานมานี้แล้ว ปัจจุบันซื้อขายที่ PE ปี 2567 ระดับเกือบ -1SD ของ PE เฉลี่ยในอดีต มองเป็นโอกาสเข้าซื้อ กำไรมีแนวโน้มแข็งแกร่งขึ้นทั้ง YoY และ QoQ ใน 1Q67 และจะเติบโต 9.7%YoY ในปี 2567
MTC มองเป็นหุ้นที่ได้อานิสงส์จากภาวะ ดบ. ที่มีแนวโน้มปรับลดลงซึ่งจะทำให้ต้นทุนทางการเงินลดลงได้ ทั้งนี้ปี 2567 คาดกำไรจะฟื้นตัวกลับมาเติบโตได้ดีที่ 17%YoY (หลังจากลดลง 4%YoY ในปี 2566) ซึ่งเป็นผลมาจากสินเชื่อที่เติบโต 19%, credit cost ที่ลดลง และ opex ที่เติบโตชะลอตัวลงจากขยายสาขาช้าลง
ข่าวเด่น