SET ยังอ่อนแรง ทำให้กรอบบนถูกจำกัดที่แนวต้าน 1385 และ 1390 จุด ตามลำดับ ขณะที่ตัวเลขภาคการผลิตสหรัฐที่ขยายตัวครั้งแรกนับตั้งแต่ ก.ย. 2565 หนุน bond yield ปรับขึ้น สร้างความไม่แน่นอนต่อช่วงเวลาการลดดอกเบี้ยของเฟด เป็นปัจจัยลบต่อดัชนีให้อ่อนตัวได้ โดยมีแนวรับที่ 1368 และ 1360 จุด ตามลำดับ
ประเด็นสำคัญ
• ดัชนี PMI ภาคการผลิตของสหรัฐโดย ISM มี.ค. 67 ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 50.3 สูงกว่าตลาดคาดที่ระดับ 48.1 และถือเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ ก.ย. 65 ซึ่งบ่งชี้ว่าภาคการผลิตของสหรัฐซึ่งก่อนหน้านี้ได้รับผลกระทบจากภาวะ ดบ. สูงนั้นเริ่มฟื้นตัวแล้ว
• ดัชนี PMI ภาคการผลิตของจีนจากไฉซิน มี.ค. ปรับตัวสู่ระดับ 51.1 สูงกว่าตลาดคาดที่ระดับ 51.0 และถือเป็นระดับแข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่ ก.พ. 66 ซึ่งบ่งชี้ว่ากิจกรรมภาคการผลิตอยู่ในภาวะขยายตัว
• ธนาคารโลกปรับลดประมาณการ GDP ไทยปี 2567 มาที่ระดับ 2.8% จากเดิมที่ 3.2% ซึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยทั้งภายนอกอันได้แก่ การชะลอตัวของการค้า รวมถึงความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และปัจจัยภายในประเทศได้แก่ ความล่าช้าของงบประมาณ
• ราคาบิตคอยน์ปรับตัวผันผวน ก่อนร่วงลงต่ำกว่า 69,000 ดอลลาร์ จากการเทขายทำกำไรก่อนถึงปรากฏการณ์ Bitcoin Halving เดือนนี้
• วันนี้จับตานายกฯ เตรียมประกาศวาระแห่งชาติในการผลักดันให้ปี 2568 เป็นปีแห่งการท่องเที่ยวของไทย ขณะที่ ททท. คาดช่วงสงกรานต์ (1-21 เม.ย. 67) มีจำนวนการเดินทางท่องเที่ยวใน ปท. ประมาณ 15.03 ล้านคน-ครั้ง สร้างรายได้ 5.25 หมื่นลบ.
• ประชุม ครม. วันนี้ ก. คลัง เตรียมเสนอให้ปรับปรุงกรอบการคลังระยะปานกลาง (ปีงบประมาณ 2568- 2571) รองรับนโยบายแจกเงินดิจิทัล10,000 บ. ก่อนการประชุมบอร์ดดิจิทัลวอลเล็ตชุดใหญ่ 10 เม.ย. นี้ที่จะมีการสรุปรายละเอียดแหล่งเงินที่จะใช้ในโครงการทั้งหมด
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นมองตลาดหุ้นไทยมีโอกาสฟื้นตัวได้ จากความคาดหวังเชิงบวกที่มีต่อดัชนี PMI ภาคการผลิตของจีนและสหรัฐจะฟื้นตัว อีกทั้งเงินเฟ้อของไทยคาดยังอยู่ในระดับต่ำเพียงพอที่จะคาดหวังต่อการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของ ธปท. ได้ กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy”
ล็อคเป้าลงทุน
ช่วงสั้นมองตลาดหุ้นไทยมีโอกาสฟื้นตัว จากความคาดหวังเชิงบวกที่มีต่อดัชนี PMI ภาคการผลิตของจีนและสหรัฐจะฟื้นตัว ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ใน 4 ธีมหลัก ดังนี้
1) หุ้นเก็งกำไรหลังราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับขึ้นทะลุ US$85 /bbl จากกังวลเศรษฐกิจถดถอยลดลงหนุนอุปสงค์ ด้านอุปทานได้ผลบวกจากสถานการณ์ตึงเครียดรหว่างรัสเซีย-ยูเครน โดยผู้รับความเสี่ยงได้สูง แนะนำ Trading PTTEP (ราคาน้ำมันระยะยาวเพิ่มทุก US$1 /bbl บวกต่อราคาเป้าหมาย 5 บาทต่อหุ้น) และ TOP (ค่าการกลั่นและกำไรสต๊อก) ขณะที่มองลบต่อกลุ่มค้าปลีกน้ำมัน (ค่าการตลาดแคบ) และกลุ่มสายการบิน (ต้นทุนเพิ่ม)
2) หุ้นที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของการผลิต (โดยเฉพาะจีน) และผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ขณะที่ราคาหุ้นยังไม่ได้สะท้อนปัจจัยบวกดังกล่าว เลือก GFPT KCE SCGP IVL PTTGC
3) หุ้นที่ได้อานิสงส์บวกจากธุรกิจท่องเที่ยวไทยที่จะดีขึ้นตามผลฤดูกาล เนื่องจากกำลังเข้าสู่ช่วงเทศกาลสงกรานต์ไทย ซึ่งปีนี้รัฐบาลประกาศจัด 21 วัน เริ่ม 1-21 เม.ย.นี้ (จากข้อมูลในอดีต 13 ปีทีผ่านมาหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวมักจะให้ผลตอบแทนที่ดีในเดือน เม.ย. เฉลี่ยราว 2.5%MoM) เลือก AOT ERW MINT CPALL
4) หุ้นเก็งกำไรจากภาวะดอกเบี้ยที่จะกำลังปรับตัวลง โดยเฉพาะหากอัตราเงินเฟ้อไทย มี.ค. ยังรายงานมาอยู่ในระดับต่ำ เลือก กลุ่มไฟแนนซ์ (TIDLOR) กลุ่มสาธารณูปโภค (GULF) กลุ่มขนส่ง (AOT)
DAILY TOP PICKS
AOT ได้อานิสงส์บวกจากการเข้าสู่ High Season ของธุรกิจท่องเที่ยวไทย ขณะที่ 2QFY67 (ม.ค.-มี.ค. 67) คาดมีกำไรปกติที่ 5.8 พันลบ. เพิ่มขึ้น 203%YoY และ 25%QoQ หลังมองจำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศจะอยู่ที่ 86% ของระดับก่อนเกิดโควิด-19 อีกทั้งปัจจุบันราคาหุ้นยังขึ้นช้ากว่าหุ้นอื่นๆ ในกลุ่มเดียวกัน
BCH เป็นหุ้นเด่นในกลุ่มการแพทย์ในฐานะ earnings play เนื่องจากกำไรปกติจะเติบโตแข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มการแพทย์ที่ 20%YoY ในปี 2567 แรงหนุนจากรายได้ที่สูงขึ้นและมาร์จิ้นที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น อีกทั้ง Valuation ไม่แพง โดยเทรดที่ PER 67F ระดับ 30 เท่า หรือ -1SD ของ PER เฉลี่ยในอดีต
ข่าวเด่น