หุ้นทอง
หุ้นปันผล อีกทางเลือกในการลงทุนระยะยาว


ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือน สำหรับบุคคลธรรมดาของธนาคารพาณิชย์อยู่ในระดับต่ำ ขณะที่ผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) ของบริษัทจดทะเบียนไทย สูงประมาณ 1.25 ถึง 2.25 เท่าของอัตราดอกเบี้ยฝากประจำ 12 เดือน ดังนั้น การลงทุนในหุ้นปันผล จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการลงทุนระยะยาว

· จากเกณฑ์การคัดเลือกหลักทรัพย์หุ้นปันผล หรือ “กลุ่มหุ้น Dividend Universe” ที่ต้องเป็นบริษัทจดทะเบียนที่มีผลประกอบการดี มีกำไรสุทธิ มีสภาพคล่องในการดำเนินงานโดยมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานเป็นบวกตลอดช่วง 5 ปี และมีคะแนนบรรษัทภิบาลในระดับ “ดี” ขึ้นไป พบว่า

มีบริษัทจดทะเบียนผ่านเกณฑ์ 141 บริษัท จากทั้งหมด 819 บริษัท โดยอยู่ใน SET 119 บริษัท และใน mai 22 บริษัท

เป็นบริษัทจดทะเบียนอยู่ในกลุ่มธุรกิจบริการมากที่สุด คือ 33 บริษัท แต่หากเทียบกับจำนวนบริษัทจดทะเบียนทั้งหมดในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม พบว่า กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมมีจำนวนบริษัทในกลุ่มหุ้น Dividend Universe ในสัดส่วนสูงสุดเมื่อเทียบกับกลุ่มอุตสาหกรรมอื่น ที่ระดับ 28%

บริษัทจดทะเบียนในกลุ่มหุ้น Dividend Universe มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลเฉลี่ย 5 ปี เฉลี่ยอยู่ที่ 4.11% ต่อปี สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดที่อยู่ที่ 2.88% โดย 43 บริษัทจากทั้งหมด 141 บริษัทมี Dividend yield เฉลี่ย 5 ปี สูงกว่า 5.00% ต่อปี และบริษัทจดทะเบียนที่มี Dividend yield เฉลี่ย 5 ปี สูงสุด 15 อันดับแรก มี Dividend yield เฉลี่ย อยู่ในช่วง 6.62% ถึง 11.57% หรือเฉลี่ยอยู่ที่ 8.00% ต่อปี

· นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้ส่งเสริมการลงทุนในกลุ่มหุ้นปันผลโดยเผยแพร่ดัชนีราคา SET High Dividend 30 (SETHD Index) ตั้งแต่วันที่ 4 กรกฎาคม 2554 ซึ่งคัดเลือก 30 หลักทรัพย์จาก SET100 Index โดยพิจารณาจากสภาพคล่องสูงอย่างสม่ำเสมอและมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูง ซึ่งเมื่อพิจารณาดัชนีผลตอบแทนรวม (Total Return Index: TRI) ของ SETHD Index พบว่า

หลักทรัพย์ที่เป็นองค์ประกอบ SETHD Index ให้ผลตอบแทนดีกว่าทั้ง SET100 Index และ SET Index เมื่อพิจารณาการฟื้นตัวของบริษัทจดทะเบียนจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 (วันฐาน คือ สิ้นปี 2562) โดย TRI ของ SETHD Index เติบโตเป็น 1.14 เท่าของวันฐาน ขณะที่ TRI ของ SET100 Index ลดลงเหลือเพียง 0.90 เท่า ทิศทางเดียวกับ TRI ของ SET Index ที่ลดลงเหลือเพียง 0.99 เท่า หรืออาจกล่าวได้ว่า ในช่วงวิกฤติที่ผ่านมา SETHD Index ฟื้นตัวได้ดีกว่าดัชนีอื่นๆ

หลักทรัพย์ที่เป็นองค์ประกอบ SETHD Index ที่มี Dividend yield เฉลี่ย 3 ปี สูงสุด 15 อันดับแรก มี Dividend yield อยู่ในระดับสูง โดยอยู่ในช่วง 4.75% ถึง 22.10% หรือเฉลี่ยอยู่ที่ 8.01% ต่อปี

· จากการศึกษาที่กล่าวมาแล้วข้างต้น จะเห็นได้ว่า หุ้นปันผลเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการลงทุน และเกณฑ์การคัดเลือกหุ้นปันผลสามารถพิจารณาหลายแนวทาง นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ประกอบการตัดสินใจลงทุนด้วย อาทิ ราคาตลาดของหลักทรัพย์ในขณะนั้นเมื่อเทียบกับราคาที่แท้จริง ความผันผวนของราคาหลักทรัพย์ ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียน สภาพคล่องในการซื้อขาย และจังหวะเวลาในการเข้าลงทุนในหุ้นปันผลนั้น ๆ เป็นต้น

 
หุ้นปันผล อีกทางเลือกในการลงทุน

ในปี 2566 เศรษฐกิจไทยเผชิญความท้าทายทั้งจากปัจจัยต่างประเทศ อาทิ ความไม่แน่นอนของทิศทางการเงินการคลังของประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของโลก ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง การเปลี่ยนแปลงราคาของสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลก ตลอดจนความผันผวนของภูมิอากาศที่มีผลต่อการผลิตทั่วโลก เป็นต้น ซึ่งปจัจจัยเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงปัจจัยภายในประเทศทั้งการส่งออกไม่เป็นไปตามเป้าหมาย การท่องเที่ยวยังไม่เติบโตเท่าที่คาด อีกทั้งหนี้สินภาคครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูง กำลังซื้ออยู่ในระดับต่ำ ขณะการใช้จ่ายและลงทุนจากภาครัฐลดลง ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในปี 2566 เติบโตเพียง 1.6% ตามการแถลงภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ 4/2566 และแนวโน้มปี 2567 ของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2567 (ภาพที่ 1) และแน่นอนว่าบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (ตลาดหุ้นไทย) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจย่อมได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน 

ภาพที่ 1 ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ 4/2566 และแนวโน้มปี 2567 ของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

 
 
ที่มา : สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
 
ในปี 2566 บริษัทจดทะเบียนไทยในตลาดหุ้นไทย จำนวน 823 บริษัทมีรายได้รวม 18.19 ล้านล้านบาท ลดลงเล็กน้อยจากปี 2565 ที่มีรายได้รวม 18.56 ล้านล้านบาท หรือลดลง 2.0% และบริษัทจดทะเบียนมีกำไรสุทธิรวม 946,605 ล้านบาท ลดลง 2.6% จากปี 2565 และเมื่อพิจารณากำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียน พบว่า 625 บริษัท จากทั้งหมด 823 บริษัท หรือ 76.0% ของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมดยังคงมีกำไรสุทธิจากการดำเนินธุรกิจในปี 25661 ซึ่งหากศึกษาข้อมูลจากสถิติต่าง ๆ ของบริษัทจดทะเบียนเหล่านี้อาจเป็นหนึ่งใน “หุ้นห่านทองคำ” ในพอร์ตของนักลงทุนได้

อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) ของบริษัทจดทะเบียนไทยสูงประมาณ 1.25 - 2.25 เท่าของอัตราดอกเบี้ยฝากประจำ 12 เดือน ขณะที่บางอุตสาหกรรมมี Dividend Yield สูงเป็น 2 เท่าของอัตราที่สูงที่สุดของดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือนของธนาคารพาณิชย์

หากพิจารณาอัตราดอกเบี้ยฝากประจำ 12 เดือน สำหรับบุคคลธรรมดาของธนาคารพาณิชย์ ที่เปิดเผยในเว็บไซต์ของธนาคารแห่งประเทศไทย พบว่า ณ สิ้นปี 2566 อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือนฯ (ตารางที่ 1) แม้จะปรับขึ้นจากสิ้นปี 2565 แต่ยังคงอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ คืออยู่ในระดับ 1.20% ถึง 2.65% ซึ่งใกล้เคียงกับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่อยู่ที่ 1.23% 
 
 
 
เมื่อพิจารณาผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) ณ สิ้นปี 2560 - 2566 ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย (ตารางที่ 2) พบว่า ในทุกปีที่ทำการศึกษาผลตอบแทนจากเงินปันผลของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศ (SET) สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือน และสูงประมาณ 1.25 - 2.25 เท่าของอัตราที่สูงที่สุดของอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือนของธนาคารพาณิชย์ และพบว่า ณ สิ้นปี 2566 บางอุตสาหกรรมให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงเกือบ 2 เท่าของอัตราที่สูงที่สุดของอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือนฯ 2

อัพเดท Dividend Universe 2024: ตัวช่วยในการเลือกหุ้นปันผล

บริษัทจดทะเบียน 141 บริษัท จากทั้งหมด 819 บริษัท เป็นบริษัทที่มีกำไรสุทธิและมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานเป็นบวก มีการจ่ายเงินปันผลต่อเนื่อง 5 ปี และมีคะแนนบรรษัทภิบาล (CG Score) อยู่ในระดับตั้งแต่ “ดี” ขึ้นไป

ฝ่ายวิจัย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้เปิดเผยรายชื่อหลักทรัพย์หุ้นปันผลที่ผ่านเกณฑ์การคัดเลือก “กลุ่มหุ้น Dividend Universe” (ภาพที่ 2) มาอย่างต่อเนื่องทุกปีตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นมา โดยบริษัทจดทะเบียนที่ผ่านเกณฑ์จะต้องเป็นบริษัทจดทะเบียนที่มีผลประกอบการดี มีกำไรต่อเนื่อง มีสภาพคล่องในการดำเนินงาน และมีบรรษัทภิบาลที่ดี และจากศึกษาข้อมูลชุดล่าสุดในปี 2567 พบว่า มีบริษัทจดทะเบียนผ่านเกณฑ์การพิจารณา 141 บริษัท จากทั้งหมด 819 บริษัท

 
และเพื่อให้มีความสอดคล้องกับช่วงระยะเวลาในการลงทุนที่แตกต่างกันของนักลงทุน ฝ่ายวิจัย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้เปิดเผยรายชื่อ “กลุ่มหุ้น Dividend Universe 2024” จำนวน 3 ชุด ได้แก่ ชุดข้อมูล 3 ปี ชุดข้อมูล 5 ปี และชุดข้อมูล 7 ปี ด้วยเงื่อนไขดังแสดงในตารางที่ 3

 
 
เมื่อพิจารณาบริษัทจดทะเบียนที่ผ่านเกณฑ์ “กลุ่มหุ้น Dividend Universe ปี 2567 ชุดข้อมูล 5 ปี” จำนวน 141 บริษัท พบว่า

 · 141 บริษัทจดทะเบียนมีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์การพิจารณากลุ่มหุ้น Dividend Universe (ตารางที่ 3 และภาพที่ 3) เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) 119 บริษัท และในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) 22 บริษัท ตามรายชื่อบริษัทจดทะเบียนใน SET Research website (https://www.set.or.th/th/education-research/research/database/dividend-universe/overview)

 · เมื่อจำแนกบริษัทจดทะเบียนที่จัดอยู่ในกลุ่มหุ้น Dividend universe ชุดนี้ ตามกลุ่มอุตสาหกรรม พบว่า o อยู่ในกลุ่มธุรกิจบริการมากที่สุด 33 บริษัท รองลงมาอยู่ในกลุ่มบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ 22 บริษัท และกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร 19 บริษัท o เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบกับจำนวนบริษัทจดทะเบียนทั้งหมดในแต่ละอุตสาหกรรม พบว่า บริษัทในกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร กลุ่มบริการ และกลุ่มทรัพยากร มีบริษัทจดทะเบียนอยู่ใน Dividend Universe ในสัดส่วนสูงกว่าอุตสาหกรรมอื่น ๆ (ภาพที่ 4)

 
และเมื่อพิจารณาบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มหุ้น Dividend Universe ชุดข้อมูล 5 ปี โดยจำแนกตามการเป็นองค์ประกอบดัชนีต่าง ๆ ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่ประกาศใช้ระหว่างวันที่ 2 มกราคม 2567 ถึง 30 มิถุนายน 2567 พบว่า 

· บริษัทจดทะเบียนในกลุ่มหุ้น Dividend Universe ส่วนใหญ่เป็นบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็ก ที่ไม่ได้เป็นองค์ประกอบของ SET50 Index และ SETHD Index เนื่องจากบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มหุ้น Dividend universe พิจารณาจากทุกบริษัทจดทะเบียนทั้งใน SET และ mai ขณะที่หลักทรัพย์ที่เป็นองค์ประกอบของ SETHD Index พิจารณาจากบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ที่อยู่ใน SET100 เท่านั้น 

· มีข้อสังเกตว่าบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มหุ้น Dividend universe เป็นหลักทรัพย์ที่เป็นองค์ประกอบของ SETESG Index สูงกว่าดัชนีอื่น ๆ (ตารางที่ 4)

บริษัทจดทะเบียนในกลุ่มหุ้น Dividend Universe มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลเฉลี่ยช่วง 5 ปี อยู่ที่ 4.11% ขณะที่ตลาดมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลเฉลี่ย 2.88%

บริษัทจดทะเบียนในกลุ่มหุ้น Dividend Universe ชุด 5 ปี มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลเฉลี่ย 5 ปี อยู่ที่ 4.11% ต่อปี สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดอยู่ที่ 2.88% และน้อยกว่าบริษัทจดทะเบียนที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่ม Dividend Universe (Non-Dividend Universe) ที่เฉลี่ยอยู่ที่ 4.19% (ตารางที่ 5)

 
เมื่อพิจารณารายอุตสาหกรรม พบว่า บริษัทจดทะเบียนในกลุ่มหุ้น Dividend Universe ที่อยู่ในกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม กลุ่มธุรกิจการเงิน และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค มีผลตอบแทนจากเงินปันผลโดยเฉลี่ยสูงกว่าอุตสาหกรรมอื่น โดยอยู่ที่ 5.71%, 4.76% และ 4.72% ตามลำดับ (ภาพที่ 5)

 
แต่หากเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) เฉลี่ย 5 ปีของบริษัทที่อยู่ในกลุ่มและนอกกลุ่มหุ้น Dividend Universe ในแต่ละอุตสาหกรรม พบว่า

 · บริษัทจดทะเบียนในกลุ่มหุ้น Dividend Universe ที่อยู่ในกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม กลุ่มธุรกิจการเงิน กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอ ไอ และกลุ่มทรัพยากร มีค่าเฉลี่ยสูงกว่าบริษัทจดทะเบียนนอกกลุ่ม Dividend Universe ที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน (สังเกตได้จากกราฟสีส้มในแต่ละอุตสาหกรรมยาวกว่ากราฟสีเทาในอุตสาหกรรมเดียวกัน)
 

 

· ขณะที่บริษัทจดทะเบียนในกลุ่มหุ้น Dividend Universe ในกลุ่มเทคโนโลยี7 กลุ่มบริการ กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง มีค่าเฉลี่ยน้อยกว่าบริษัทจดทะเบียนนอกกลุ่มหุ้น Dividend universe ที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน (สังเกตได้จากกราฟสีส้มในแต่ละอุตสาหกรรมสั้นกว่ากราฟสีเทาในอุตสาหกรรมเดียวกัน)
 
บริษัทจดทะเบียนที่มี Dividend yield เฉลี่ย 5 ปี สูงสุด 15 อันดับแรกในกลุ่มหุ้น Dividend Universe มี Dividend Yield อยู่ในระดับสูง โดยอยู่ในช่วง 6.62% ถึง 11.57%

จากรายชื่อบริษัทจดทะเบียนในอยู่ในกลุ่มหุ้น Dividend Universe ชุด 5 ปี พบว่า 43 บริษัท จากทั้งหมด 141 บริษัท มี Dividend Yield เฉลี่ย 5 ปี สูงกว่า 5% ต่อปี และบริษัทจดทะเบียนในอยู่ในกลุ่มหุ้น Dividend Universe ชุด 5 ปี ที่มี Dividend Yield เฉลี่ย 5 ปี สูงสุด 15 อันดับแรก มี Dividend yield เฉลี่ย 5 ปี อยู่ในช่วง 6.62% ถึง 11.57% หรือเฉลี่ยอยู่ที่ 8.00% (ตารางที่ 6)

 
SETHD Index: ดัชนีหุ้นปันผล อีกหนึ่งมุมมองในการเลือกลงทุนในหุ้นปันผล

SETHD Index เป็นดัชนีสะท้อนความเคลื่อนไหวราคาของกลุ่มหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าตามราคาตลาดและมีสภาพคล่องสูงอย่างสม่ำเสมอ และมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงและต่อเนื่อง เป็นอีกหนึ่งมุมมองในการเลือกลงทุนในหุ้นปันผล

นอกจากชุดข้อมูลหุ้นปันผล “กลุ่มหุ้น Dividend Universe” แล้ว ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้ส่งเสริมการลงทุนในกลุ่มหุ้นปันผลโดยเผยแพร่ดัชนีราคา SET High Dividend 30 (SETHD Index) ตั้งแต่วันที่ 4 กรกฎาคม 2554 ซึ่ง SETHD Index เป็นดัชนีที่สะท้อนความเคลื่อนไหวราคาของกลุ่มหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าตามราคาตลาดสูง (Market Capitalization) มีสภาพคล่องสูงอย่างสม่ำเสมอ และมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงและต่อเนื่อง8

สำหรับคุณสมบัติของหลักทรัพย์ที่อาจได้รับการคัดเลือกเป็นองค์ประกอบดัชนี ดังนี้ · หลักทรัพย์ที่เป็นองค์ประกอบของ SET100 Index หรือ SET100FF Index ซึ่งเป็นตัวแทนของหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าตามราคาตลาดสูง มีสภาพคล่องสูงอย่างสม่ำเสมอ

 · จ่ายตอบแทนให้ผู้ถือหุ้นอย่างสม่ำเสมอ โดยพิจารณาจากพฤติกรรมของบริษัทจดทะเบียนในการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น โดยต้องเป็นบริษัทจดทะเบียนที่มีการจ่ายเงินปันผลต่อเนื่องอย่างน้อย 3 ปี โดยการจ่ายเงินปันนี้ไม่รวมการจ่ายเงินปันผลที่บริษัทจดทะเบียนระบุว่าเป็น “เงินปันผลพิเศษ”

 · พิจารณาถึงการเติบโตของกิจการในอนาคต โดยบริษัทจดทะเบียนจะต้องจ่ายเงินปันผลไม่เกินกว่ากำไรสุทธิในงวดนั้นๆ หรือมีอัตราส่วนการจ่ายเงินปันผลต่อกำไรสุทธิ (Dividend Payout Ratio) โดยเฉลี่ยในช่วง 3 ปีย้อนหลังไม่เกิน 100%

เมื่อประเมินผลตอบแทนจากการลงทุนของการลงทุนใน SETHD Index เทียบกับ SET Index และ SET100 Index จากดัชนีผลตอบแทนรวม9 (Total Return Index : TRI) โดยปรับดัชนีผลตอบแทนรวมของแต่ละดัชนี ณ วันฐานให้เป็น 1,000 (ตารางที่ 7) พบว่า

 
· พิจารณาตั้งแต่เริ่มเผยแพร่ SETHD Index โดยกำหนดวันฐานเป็นวันที่ 30 มิถุนายน 2554 และพิจารณาอัตราผลตอบแทนรวมจากวันฐานจนถึงสิ้นเดือนมีนาคม 2567 ตาม (1) พบว่า SETHD Index ให้ผลตอบแทนจากการลงทุนดีกว่า SET100 Index แต่น้อยกว่า SET Index โดยอัตราผลตอบแทนรวม SETHD Index เติบโตเป็น 1.89 เท่าของวันฐาน ขณะที่ SET100 เติบโตเป็น 1.75 เท่า และ SET เติบโตเป็น 1.99 เท่าของวันฐาน 

· พิจารณาผลตอบแทนของทั้ง 3 ดัชนีที่มีการปรับตัวในช่วงวิกฤติล่าสุด คือ การแพร่ระบาดของเชื้อโคโรน่าไวรัส (COVID-19) ที่เริ่มแพร่ระบาดช่วงสิ้นปี 2562 โดยใช้สิ้นปี 2562 เป็นฐาน และคำนวณอัตราผลตอบแทนรวมจากวันฐานจนถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ตาม (2) และภาพที่ 6 พบว่า SETHD Index ให้ผลตอบแทนจากการลงทุนดีกว่าทั้ง SET100 Index และ SET Index โดยอัตราผลตอบแทนรวม SETHD Index เติบโตเป็น 1.14 เท่าของวันฐาน (14.20%) ขณะที่ SET100 Index เติบโตลดลงเหลือเพียง 0.90 เท่า (-9.78%) ทิศทางเดียวกับ SET Index เติบโตลดลงเหลือเพียง 0.99 เท่าของวันฐาน (-0.81%) หรืออาจกล่าวได้ว่า ในช่วงวิกฤติที่ผ่านมา SETHD Index ฟื้นตัวได้ดีกว่า SET100 Index และ SET Index

หลักทรัพย์ที่เป็นองค์ประกอบ SETHD Index ที่มี Dividend Yield เฉลี่ย 3 ปี สูงสุด 15 อันดับแรก มี Dividend Yield อยู่ในช่วง 4.75% ถึง 22.10%

เมื่อพิจารณาจากค่าเฉลี่ยผลตอบแทนจากเงินปันผลในช่วง 3 ปีล่าสุด11 ของหลักทรัพย์ที่เป็นองค์ประกอบ SETHD Index พบว่า 10 หลักทรัพย์จากทั้งหมด 30 หลักทรัพย์ มี Dividend Yield เฉลี่ย 3 ปี สูงกว่า 5% ต่อปี และพบว่าหลักทรัพย์ที่เป็นองค์ประกอบ SETHD Index ที่มี Dividend Yield เฉลี่ย 3 ปี สูงสุด 15 อันดับแรก มี Dividend Yield อยู่ในช่วง 4.75% ถึง 22.10% หรือเฉลี่ยอยู่ที่ 8.01%

 
จากการศึกษาที่กล่าวมาแล้วข้างต้น จะเห็นได้ว่า หุ้นปันผลเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการลงทุน และเกณฑ์คัดเลือกหุ้นปันผลสามารถพิจารณาได้แนวทาง นักลงทุนควรพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ประกอบการตัดสินใจลงทุนด้วย อาทิ ราคาตลาดของหลักทรัพย์ในขณะนั้นเมื่อเทียบกับราคาที่แท้จริง12 ความผันผวนของราคาหลักทรัพย์ ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียน สภาพคล่องในการซื้อขาย และจังหวะเวลาในการเข้าลงทุนในหุ้นปันผลนั้น ๆ เป็นต้น

บันทึกโดย : วันที่ : 10 เม.ย. 2567 เวลา : 15:37:14
24-11-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 24, 2024, 2:57 pm