SET สร้างสัญญาณรีบาวด์ไว้ตั้งแต่เมื่อบ่ายวานนี้ หลังลงทดสอบแนวรับสำคัญที่จุดต่ำเดิมบริเวณ 1350 จุด และฟื้นตัว ทำให้วันนี้มีโอกาสฟื้นตัวได้ต่อ โดยมีแนวต้านที่ 1370 และ 1380 จุด ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม ภาพรวมดูเป็นลบ ทำให้ยังมีความเสี่ยงด้าน downside โดยเฉพาะเมื่อต่ำกว่า 1350 จุด โดยมีแนวรับถัดไปที่ 1330 จุด
ประเด็นสำคัญ
• จนท. Fed หลายรายต่างแสดงความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า Fed ยังไม่ควรเร่งปรับลด ดบ. เพราะการที่เงินเฟ้อจะชะลอตัวลงสู่เป้าหมายของ Fed ที่ระดับ 2% อาจจะใช้เวลานานกว่าที่คาดการณ์ไว้
• สหรัฐรายงานตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกอยู่ที่ระดับ 2.12 แสนรายในสัปดาห์ที่แล้ว ไม่เปลี่ยนแปลงจากสัปดาห์ก่อนหน้า และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของตลาดที่ระดับ 2.15 แสนราย
• สหรัฐประกาศคว่ำบาตรอิหร่าน ซึ่งพุ่งเป้าไปที่การผลิตอากาศยานไร้คนขับ เพื่อตอบโต้กรณีที่อิหร่านใช้โดรนและขีนาวุธโจมตีอิสราเอลเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี มาตรการครั้งใหม่นี้ สหรัฐหลีกเลี่ยงที่จะคว่ำบาตรอุตสาหกรรมน้ำมันของอิหร่าน
• สหรัฐประกาศจะไม่ต่ออายุใบอนุญาตผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตรน้ำมันของเวเนซุเอลา ซึ่งเป็นสัญญาณของการกลับไปใช้มาตรการที่เข้มงวดขึ้น เนื่องจาก ปธน. เวเนซุเอลา ไม่ทำตามสัญญาในข้อตกลงการเลือกตั้งที่สหรัฐหนุนหลังเมื่อปีก่อน
• TSMC ระบุว่าบริษัททำรายได้และกำไรสูงเกินคาดการณ์ใน 1Q67 โดยได้แรงหนุนจากอุปสงค์ชิปขั้นสูงที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะชิปที่ใช้ในเครื่องมือปัญญาประดิษฐ์
• สกนช. เสนอ กบน. ให้ใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงพยุงราคาดีเซล หลังมาตรการลดภาษีสรรพสามิตลิตรละ 1 บาทสิ้นสุด 19 เม.ย.67 เพื่อไม่ให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชนและไม่ให้ราคามีการเปลี่ยนแปลงมากจนเกินไป
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นมองตลาดหุ้นไทยมีโอกาสผันผวนเชิงลบ โดยแม้มีปัจจัยบวกในประเทศจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐ แต่คาดสถานการณ์ตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นในตะวันออกกลาง หลังอิหร่านปฏิบัติการโจมตีตอบโต้อิสราเอล จะกดดันต่อการลงทุนในตลาดสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก โดยหากสถานการณ์ยืดเยื้อและขยายวงกว้างจะทำให้มีความเสี่ยงที่ราคาพลังงานและเงินเฟ้อสูงขึ้น อีกทั้งมีโอกาสที่เฟดจะปรับลดดอกเบี้ยล่าช้ามากขึ้น กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy”
ล็อคเป้าลงทุน
ช่วงสั้นมองตลาดหุ้นไทยจะผันผวนเชิงลบ จากกังวลสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางจะทำให้ราคาพลังงานและเงินเฟ้อสูงขึ้น อีกทั้งเฟดอาจปรับลดดอกเบี้ยล่าช้ามากขึ้น ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ใน 4 ธีมหลัก ดังนี้
1) หุ้นที่สามารถลดความผันผวนและเป็นสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงจากกรณีความไม่สงบในตะวันออกกลาง ซึ่งยังมีความไม่แน่นอนสูงขึ้นกับการตอบโต้ของอิสราเอลว่าจะออกมาในรูปแบบใด และจะนำไปสู่สงครามระหว่างอิหร่านอย่างเต็มรูปแบบหรือไม่ โดยนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง เลือกหุ้นน้ำมันขั้นต้นอย่าง PTTEP ซึ่งคาดจะได้ประโยชน์โดยตรงจากราคาน้ำมันที่ปรับขึ้น และหุ้นโรงกลั่นจะได้ผลบวกผ่านกำไรสต๊อกที่เพิ่มขึ้นเชิงพื้นฐานชอบ BCP ส่วน TOP สำหรับการ Trading (ทั้งนี้หากสถานการณ์ลุกลามไปสู่การสู้รบอย่างเต็มรูปแบบอาจหนุนราคาน้ำมันเกิน 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในระยะสั้น เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่ออุปทานของอิหร่านที่คิดเป็น 3-4% ของอุปทานโลก และในกรณีเลวร้ายกระทบการส่งออกน้ำมันผ่านช่องแคบ Hormuz อาจกระทบการส่งออกได้สูงสุดถึงกว่า 17% ของอุปทานโลก) ขณะที่มองลบต่อกลุ่มค้าปลีกน้ำมัน (ค่าการตลาดแคบ) และกลุ่มสายการบิน (ต้นทุนเพิ่ม)
2) นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ แนะนำหุ้นปลอดภัย (Defensive Stock) ซึ่งพื้นฐานแข็งแกร่ง ผลประกอบการไม่ผันผวนตามเศรษฐกิจ เลือก หุ้นการแพทย์ (BDMS BCH) หุ้นขนส่งทางบก (BEM) หุ้นค้าปลีก (CPALL CPAXT) หุ้นสื่อสาร (ADVANC)
3) หุ้นที่ได้ประโยชน์จากมาตรกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐผ่านการแจกเงินดิจิทัล เลือก CPALL CPAXT BJC HTC SNNP
4) หุ้นที่ได้อานิสงส์บวกจากธุรกิจท่องเที่ยวไทยที่จะดีขึ้นตามผลฤดูกาล เลือก AOT ERW MINT CPALL
DAILY TOP PICKS
BDMS 1Q67 คาดกำไรปกติที่ 4.0 พันลบ. เพิ่มขึ้น 15%YoY และ 1%QoQ ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แรงหนุนหลักจากรายได้ที่แข็งแกร่งขึ้น ขณะที่ทั้งปี 2567 คาดกำไรปกติเติบโต 13%YoY สู่ 1.6 พันลบ. ขึ้น อีกทั้ง Valuation ไม่แพง โดยเทรดที่ PER 67F ระดับ 27.5 เท่า ต่ำกว่าระดับ -2SD ของ PER เฉลี่ยในอดีต
ADVANC มองเป็นหุ้นที่ผลประกอบการไม่ผันผวนตามเศรษฐกิจ โดย 1Q67 คาดกำไรสุทธิที่ 7 พันลบ. ค่อนข้างทรงตัว QoQ แต่เติบโต 4.3%YoY ขณะที่ทั้งปี 2567 คาดกำไรปกติไว้ที่ 2.95 หมื่นลบ. เพิ่มขึ้น 3.6%YoY และคาดจ่ายปันผลจากกำไรปีนี้หุ้นละ 8.73 บาท คิดเป็น Div. Yield ปีละ 4.4%
ข่าวเด่น