SET หลุดต่ำกว่าแนวรับสำคัญที่จุดต่ำเดิมบริเวณ 1350 จุด และปรับลงต่อเนื่อง สร้างสัญญาณลบทางเทคนิคให้เป็นลบต่อเนื่อง และกดดันดัชนีให้ปรับลงได้ต่อ โดยมีแนวรับถัดไปที่ 1325 และ 1300 จุด ตามลำดับ ส่วนการฟื้นตัวถูกจำกัด โดยมีแนวต้านอยู่ที่ 1340 และ 1350 จุด ตามลำดับ
ประเด็นสำคัญ
• นายออสเตน กูลส์บี ปธ. Fed สาขาชิคาโกกล่าวว่า ความคืบหน้าในการปรับลดเงินเฟ้อนั้นได้หยุดชะงักในปีนี้ ถือเป็น จนท. Fed รายล่าสุดที่ทำลายความหวังเกี่ยวกับการปรับลด ดบ. ลงในเร็ว ๆ นี้
• สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐได้ผ่านร่างกฎหมาย 4 ชุดเพื่อให้ความช่วยเหลือยูเครน อิสราเอล และไต้หวัน รวมถึงร่างกฎหมายฉบับปรับปรุงใหม่ที่จะบีบให้ ByteDance ขาย TikTok ให้กับสหรัฐ
• IAEA ยืนยันว่า พื้นที่ตั้งแหล่งพลังงานนิวเคลียร์ของอิหร่านไม่ได้รับความเสียหายจากเหตุโจมตีในจังหวัดอิสฟาฮานทางตอนกลางของอิหร่านแต่อย่างใด
• สมาคมผู้ผลิตรถยนต์ของจีนระบุการส่งออกรถยนต์ 1Q67 พุ่งขึ้น 33.2%YoY และยอดส่งออก NEV พุ่งขึ้น 23.8% โดยที่ยอดส่งออกรถยนต์ มี.ค. พุ่ง 37.9%YoY และยอดส่งออก NEV พุ่งขึ้น 59.4%YoY
• ราคาหุ้น Nvidia ปรับลง 10%DoD จากความวิตกผลประกอบการรายไตรมาสจะลดลงต่ำกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ ผลกระทบจากความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์และเงินเฟ้อที่ยังสูง
• Tesla ลดราคา EV โมเดล Y, X และ S ลงรุ่นละ 2,000 ดอลลาร์ในสหรัฐ หลังยอดส่งมอบรถไฟฟ้าใน 1Q67 ต่ำกว่าที่ตลาดคาด พร้อมเรียกคืนรถกระบะไฟฟ้ากว่า 4,000 คัน หลังเกิดเกิดอุบัติเหตุจากปัญหาคันเร่ง
• บจ. เอสซีจี พลาสติกส์ ถูกสหรัฐสั่งปรับเป็นเงิน 20 ล้านเหรียญ ฐานละเมิดคำสั่งคว่ำบาตรอิหร่าน รวมแล้วทั้งสิ้น 467 ครั้ง โดยทางเอสซีจี พลาสติกส์ ได้ยอมที่จะจ่ายค่าปรับเพื่อระงับเรื่องนี้แล้ว
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นมองตลาดหุ้นไทยจะอยู่ในภาวะเปราะบางและผันผวน จากความกังวลสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางและเฟดอาจปรับลดดอกเบี้ยล่าช้ากว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้เดิม ประกอบกับ การเข้าสู่ฤดูกาลประกาศผลประกอบการ 1Q67 ที่คาดจะมีอัตราการเติบโตต่ำ แม้ว่าทิศทางดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐจะมีสัญญาณฟื้นตัว กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy”
ล็อคเป้าลงทุน
ตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในภาวะเปราะบาง จากกังวลสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางและเฟดอาจปรับลดดอกเบี้ยล่าช้ากว่าที่ตลาดคาดไว้เดิม ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ใน 4 ธีมหลัก ดังนี้
1) หุ้นที่สามารถลดความผันผวนและเป็นสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงจากกรณีความไม่สงบในตะวันออกกลางระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน โดยนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง เลือกหุ้นน้ำมันขั้นต้นอย่าง PTTEP ซึ่งคาดจะได้ประโยชน์โดยตรงจากราคาน้ำมันที่ปรับขึ้น และหุ้นโรงกลั่นจะได้ผลบวกผ่านกำไรสต๊อกที่เพิ่มขึ้นเชิงพื้นฐานชอบ BCP ส่วน TOP สำหรับการ Trading (ทั้งนี้หากสถานการณ์ลุกลามไปสู่การสู้รบอย่างเต็มรูปแบบอาจหนุนราคาน้ำมันเกิน 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในระยะสั้น เนื่องจากอาจกระทบต่ออุปทานของอิหร่านที่คิดเป็น 3-4% ของอุปทานโลก และกรณีเลวร้ายกระทบการส่งออกน้ำมันผ่านช่องแคบ Hormuz ได้สูงสุดถึงกว่า 17% ของอุปทานโลก) ขณะที่มองลบต่อกลุ่มค้าปลีกน้ำมัน (ค่าการตลาดแคบ) และกลุ่มสายการบิน (ต้นทุนเพิ่ม)
2) นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ แนะนำ (Defensive Stock) ซึ่งพื้นฐานแข็งแกร่ง ผลประกอบการไม่ผันผวนตามเศรษฐกิจ เลือก หุ้นการแพทย์ (BDMS BCH) หุ้นขนส่งทางบก (BEM) หุ้นค้าปลีก (CPALL CPAXT) หุ้นสื่อสาร (ADVANC) หุ้นอสังหาปันผลดี (AP)
3) หุ้นที่คาดผลประกอบการ 1Q67 จะมีอัตราการเติบโตทั้ง YoY และ QoQ ซึ่งจะประกาศในช่วง 2 สัปดาห์หน้านี้ เลือก SCGP HMPRO
4) นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงและต้องการเก็งกำไรสำหรับหุ้นที่ราคาปรับลงแรงเกินไปตั้งแต่เกิดเหตุการณ์โจมตีระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน แต่พื้นฐานยังไม่ได้เปลี่ยนแปลง เลือก GPSC GULF SPRC CRC MTC
DAILY TOP PICKS
GFPT 1Q67 คาดกำไรปกติที่ 400 ลบ. เพิ่มขึ้น 69%YoY ดีสุดในกลุ่มอาหาร หนุนจากอัตรากำไรขั้นต้นและส่วนแบ่งกำไรที่ดีขึ้นเนื่องด้วยยอดขายส่งออกที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงเพิ่มขึ้นและต้นทุนอาหารสัตว์ลดลง ขณะที่ปัจจุบันซื้อขายที่ PER 67F ระดับ 9 เท่า คิดเป็น -1.S.D. จาก core PER เฉลี่ย 10 ปีที่ 12 เท่า
GULF ราคาหุ้นปรับลง -9.2% จากกังวลเหตุโจมตีอิสราเอล-อิหร่าน แต่พื้นฐานไม่ได้เปลี่ยนแปลง คาดกำไร 1Q67 ปรับตัวดีขึ้น QoQ จากความต้องการใช้ไฟฟ้าของลูกค้าอุตสาหกรรมฟื้นตัวหลังพ้นช่วงโลว์ซีซั่น และหน่วยผลิตไฟฟ้าอีกหนึ่งหน่วยของ Gulf PD (IPP) เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ใน มี.ค. 67
ข่าวเด่น