SET ฟื้นตัวหลังลงแรงในสัปดาห์ก่อน และสถานการณ์ในตะวันออกกลางไม่รุนแรงขึ้น ทำให้ดัชนีมีโอกาสฟื้นตัวได้ต่อ อย่างไรก็ตาม สัญญาณทางเทคนิคที่กลับมาเป็นลบ ทำให้กรอบบนยังถูกจำกัด โดยมีแนวต้านที่ 1360 และ 1370 จุด ตามลำดับ ด้านแนวรับอยู่ที่ 1340 และ 1330 จุด หากต่ำกว่า จะเป็นสัญญาณลบต่อ
ประเด็นสำคัญ
• คณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติจีน (NDRC) แถลงว่า สงครามราคาผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดมีแนวโน้มทวีความรุนแรงขึ้นในปีนี้ โดยสาเหตุสำคัญเป็นเพราะรถยนต์ล้นตลาด
• ไต้หวันระบุยอดคำสั่งซื้อภาคส่งออก มี.ค.ปรับขึ้น 1.2%YoY ต่ำกว่าตลาดคาด แต่คาดว่าความต้องการโปรแกรม AI ที่พุ่งสูงขึ้นจะช่วยหนุนความต้องการผลิตภัณฑ์ไฮเทคของไต้หวันในอนาคต
• ททท. ระบุหนี้ครัวเรือน-ราคาพลังงานพุ่งสูง กระทบยอดคนไทยเที่ยวไทย ทางด้าน บวท. คาดปีนี้ยอดให้บริการเดินอากาศอยู่ที่ 9.1 แสนเที่ยวบิน และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นถึง 1.5-2 ล้านเที่ยวบินในอนาคต
• บอร์ด รฟท. เตรียมเสนอโครงการรถไฟไทย-จีน ช่วงกทม.-หนองคาย (เฟส 2) ระยะทาง 357.12 กม. วงเงินกว่า 3.41 แสนลบ. ให้ ก. คมนาคม และครม. พิจารณาในปีนี้ คาดใช้เวลาก่อสร้างงานโยธา 48 เดือน ก่อสร้างงานระบบรถไฟฟ้า 66 เดือน กำหนดเปิดให้บริการปี 2574
• BOI อนุมัติ Chery ค่ายรถยนต์จากจีนตั้งฐานผลิต EV ในไทย หลังจากหารือกันกว่า 2 ปี เตรียมจำหน่ายอีวีรุ่นแรกในไทยกลางปีนี้เพื่อทดลองตลาด พร้อมตั้งฐานโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในไทย เริ่มผลิตปี 2568
• ตลท.เตรียมประชุมบอร์ด 24 เม.ย. สรุปเกณฑ์ซื้อขายใหม่ เตรียมเปิดเผยรายละเอียดสัปดาห์นี้ โดยชอร์ตเซลใช้ Uptick รายตัวหรือทุกหลักทรัพย์ ขณะที่ HFT มีระยะเวลาป้องกันยกเลิกออเดอร์ นอกจากนี้ยังมีมาตรการกำกับ บจ. เชิงรุก-ชี้แจงทันทีหากพบเหตุผิดปกติ
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นมองตลาดหุ้นไทยจะอยู่ในภาวะเปราะบางและผันผวน จากความกังวลสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางและเฟดอาจปรับลดดอกเบี้ยล่าช้ากว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้เดิม ประกอบกับ การเข้าสู่ฤดูกาลประกาศผลประกอบการ 1Q67 ที่คาดจะมีอัตราการเติบโตต่ำ แม้ว่าทิศทางดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐจะมีสัญญาณฟื้นตัว กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy”
ล็อคเป้าลงทุน
ตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในภาวะเปราะบาง จากกังวลสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางและเฟดอาจปรับลดดอกเบี้ยล่าช้ากว่าที่ตลาดคาดไว้เดิม ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ใน 4 ธีมหลัก ดังนี้
1) หุ้นที่สามารถลดความผันผวนและเป็นสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงจากกรณีความไม่สงบในตะวันออกกลางระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน โดยนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง เลือกหุ้นน้ำมันขั้นต้นอย่าง PTTEP ซึ่งคาดจะได้ประโยชน์โดยตรงจากราคาน้ำมันที่ปรับขึ้น และหุ้นโรงกลั่นจะได้ผลบวกผ่านกำไรสต๊อกที่เพิ่มขึ้นเชิงพื้นฐานชอบ BCP ส่วน TOP สำหรับการ Trading (ทั้งนี้หากสถานการณ์ลุกลามไปสู่การสู้รบอย่างเต็มรูปแบบอาจหนุนราคาน้ำมันเกิน 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในระยะสั้น เนื่องจากอาจกระทบต่ออุปทานของอิหร่านที่คิดเป็น 3-4% ของอุปทานโลก และกรณีเลวร้ายกระทบการส่งออกน้ำมันผ่านช่องแคบ Hormuz ได้สูงสุดถึงกว่า 17% ของอุปทานโลก) ขณะที่มองลบต่อกลุ่มค้าปลีกน้ำมัน (ค่าการตลาดแคบ) และกลุ่มสายการบิน (ต้นทุนเพิ่ม)
2) นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ แนะนำ (Defensive Stock) ซึ่งพื้นฐานแข็งแกร่ง ผลประกอบการไม่ผันผวนตามเศรษฐกิจ เลือก หุ้นการแพทย์ (BDMS BCH) หุ้นขนส่งทางบก (BEM) หุ้นค้าปลีก (CPALL CPAXT) หุ้นสื่อสาร (ADVANC) หุ้นอสังหาปันผลดี (AP)
3) หุ้นที่คาดผลประกอบการ 1Q67 จะมีอัตราการเติบโตทั้ง YoY และ QoQ ซึ่งจะประกาศในช่วง 2 สัปดาห์หน้านี้ เลือก SCGP HMPRO
4) นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงและต้องการเก็งกำไรสำหรับหุ้นที่ราคาปรับลงแรงเกินไปตั้งแต่เกิดเหตุการณ์โจมตีระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน แต่พื้นฐานยังไม่ได้เปลี่ยนแปลง เลือก GPSC GULF SPRC CRC MTC
DAILY TOP PICKS
KTB ปี 2567 คาดกำไรจะเติบโต 5.4%YoY แรงหนุนจากการเติบโตของสินเชื่อที่ 3%, NIM ที่หดตัวลง 9 bps, credit cost ที่ลดลง 13 bps, non-NII ที่ฟื้นตัว 5% และอัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย ขณะที่ Valuation ถูก และคาดมีเงินปันผลจ่ายจากกำไรปี 67 ที่หุ้นละ 0.97 บ. คิดเป็น Div. Yield ปีละ 6%
HANA มองได้รับผลดีจากบาทอ่อนค่า คาดกำไรปกติ 1Q67 ที่ 310 ลบ. เติบโต 11.9%YoY และ 2Q67 คาดกำไรจะปรับตัวดีขึ้น หนุนจากวงจรการเปลี่ยนสมาร์ทโฟน AI ทดแทนสมาร์ทโฟนเครื่องเก่า กระตุ้นอุปสงค์สมาร์ทโฟนเพิ่มขึ้น ขณะที่ Risk/Reward น่าสนใจ หลังราคาหุ้นปรับลง 31%YTD สะท้อนประเด็นลบไปแล้ว
ข่าวเด่น