คาด SET เคลื่อนไหวภายในกรอบ โดยกรอบบนถูกจำกัดบริเวณแนวต้าน 1370 และ 1380 จุด ตามลำดับ ขณะที่กรอบล่างมีแนวรับ 1355 จุด ยังรองรับได้ และใช้เป็นจุดติดตาม หากต่ำกว่า จะเริ่มเป็นสัญญาณลบ และมีแนวรับถัดไปที่ 1350 จุด ประเด็นสำคัญ ติดตามตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐในวันนี้
ประเด็นสำคัญ
• OECD ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP Growth ของโลกปีนี้จากเดิม 2.9% สู่ 3.1% โดยระบุการฟื้นตัว ศก. สหรัฐเป็นหนึ่งในปัจจัยช่วยหนุน ศก. โลก อีกทั้งยังปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP สหรัฐปี 2567 ขึ้นสู่ 2.6% จาก 2.1%
• สหรัฐรายงานตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกสัปดาห์ที่แล้วที่ 2.08 แสนราย ต่ำกว่าตลาดคาด, คำสั่งซื้อภาคโรงงาน มี.ค. เพิ่มขึ้น 1.6%MoM สอดคล้องตลาดคาด และตัวเลขขาดดุลการค้า มี.ค. ลดลง 0.1% สู่ระดับ 6.94 หมื่นล้านเหรียญ สูงกว่าตลาดคาด
• ดัชนี PMI ภาคการผลิตขั้นสุดท้ายของยูโรโซน เม.ย. ลดลงสู่ 45.7 บ่งชี้ว่ากิจกรรมภาคการผลิตของยูโรโซนหดตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 22
• ราคาหุ้น Apple +2.2%DoD ส่วนราคาหุ้น Qualcomm +9.7%DoD หลังทั้ง 2 บริษัทรายงานกำไรและรายได้ไตรมาสที่ 2 สูงกว่าตลาดคาด
• BOI ระบุตัวเลขขอรับการส่งเสริมการลงทุนใน 1Q67 มีจำนวน 724 โครงการ เพิ่มขึ้น 94%YoY และมีมูลค่าเงินลงทุนรวม 2.28 แสนลบ. เพิ่มขึ้น 31%YoY สะท้อนถึงศักยภาพและความเชื่อมั่น นลท. เพิ่มสูงขึ้น
• โฆษกประจำสำนักนายกฯ ระบุเตรียมปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400 บ. ทั่ว ปท. ซึ่งจะเป็นการทยอยปรับขึ้น เริ่ม 1 ต.ค. 67 โดย ก. แรงงานจะนำประเด็นการปรับค่าแรงขั้นต่ำเข้าหารือที่ประชุม คกก. ค่าจ้าง 14 พ.ค. 67
• Microsoft ประกาศลงทุน Cloud - AI ในมาเลเซีย 8.1 หมื่นลบ. และอินโดนีเซีย 6.3 หมื่นลบ. ส่วนไทยประกาศแผนตั้ง Data Center แต่ยังไม่ทราบเม็ดเงินลงทุน คาดดีลยังไม่จบอยู่ขั้นดำเนินงานเฟสแรก
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นมองตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในภาวะเปราะบางตามตลาดหุ้นโลก จากความกังวลสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางและเฟดอาจปรับลดดอกเบี้ยล่าช้ากว่าที่ตลาดคาดไว้เดิมหลังการประชุมของเฟดมีมติคงดอกเบี้ยนโยบาย ส่วนอัตราการว่างงานของสหรัฐคาดจะทรงตัว ขณะที่การเข้าสู่ฤดูกาลประกาศผลประกอบการ 1Q67 ของหุ้นกลุ่ม Real Sector คาดจะมีอัตราการเติบโตต่ำ ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy”
ล็อกเป้าลงทุนประจำสัปดาห์
ตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในภาวะเปราะบางตามตลาดหุ้นโลก จากกังวลสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางและเฟดอาจปรับลดดอกเบี้ยล่าช้ากว่าที่ตลาดคาดไว้เดิม ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ใน 3 ธีมหลัก ดังนี้
1) หุ้นเก็งกำไรผลประกอบการ 1Q67 ซึ่งคาดจะมีการเติบโตที่ดี YoY และจะประกาศในช่วงสองสัปดาห์หน้า เลือก HMPRO TRUE GFPT KCE TOP
2) นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ แนะนำหุ้นปลอดภัย (Defensive Stock) ซึ่งพื้นฐานแข็งแกร่ง ผลประกอบการไม่ผันผวนตามเศรษฐกิจ เลือก หุ้นการแพทย์ (BDMS BCH) หุ้นขนส่งทางบก (BEM) หุ้นค้าปลีก (CPALL CPAXT) หุ้นสื่อสาร (ADVANC) หุ้นอสังหาปันผลดี (AP)
3) หุ้นที่สามารถเป็นสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยง (Hedging) จากกรณีความไม่สงบในตะวันออกกลาง ซึ่งยังมีความไม่แน่นอนสูง โดยนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง เลือกหุ้นน้ำมันขั้นต้นอย่าง PTTEP ซึ่งคาดจะได้ประโยชน์โดยตรงจากราคาน้ำมันที่ปรับขึ้น และหุ้นโรงกลั่นจะได้ผลบวกผ่านกำไรสต๊อกที่เพิ่มขึ้นเชิงพื้นฐานชอบ BCP (ทั้งนี้หากสถานการณ์ลุกลามไปสู่การสู้รบอย่างเต็มรูปแบบอาจหนุนราคาน้ำมันเกิน 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในระยะสั้น เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่ออุปทานของอิหร่านที่คิดเป็น 3-4% ของอุปทานโลก และในกรณีเลวร้ายกระทบการส่งออกน้ำมันผ่านช่องแคบ Hormuz อาจกระทบการส่งออกได้สูงสุดถึงกว่า 17% ของอุปทานโลก) ขณะที่มองลบต่อกลุ่มค้าปลีกน้ำมัน (ค่าการตลาดแคบ) และกลุ่มสายการบิน (ต้นทุนเพิ่ม)
DAILY TOP PICKS
TIDLOR เลือกหุ้นเด่นของกลุ่มไมโครไฟแนนซ์ เนื่องจากคาดกำไรปี 2567 จะฟื้นตัวแข็งแกร่งสุดที่ 23%YoY พร้อมกับ valuation น่าสนใจที่ PE 13 เท่า ขณะที่ 1Q67 คาดกำไร 1.03 พันลบ. เพิ่มขึ้น 14%QoQ (ECL และ opex ลดลง) และ 7%YoY (NII และ non-NII เพิ่มขึ้น) เติบโตสูงที่สุดในกลุ่มฯ
KCE มองเป็นหุ้นเด่นกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ จากกำไรจะเติบโตแข็งแกร่งสุดในกลุ่ม โดยปี 2567 คาดกำไรสุทธิจะเติบโต 32%YoY จากการเติบโตที่ดีของ EV และเริ่มบริหารจัดการต้นทุนได้ดีมากขึ้น ขณะที่ valuation น่าสนใจ โดยปัจจุบันซื้อขายที่ PE ปี 2567 เพียง 21.1 เท่า ซึ่งเท่ากับระดับ -1SD ของ PE mean
ข่าวเด่น