คาด SET ปรับตัวขึ้น ด้วยแรงหนุนความหวังของตลาดที่มองว่าเฟดอาจลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือน ก.ย. หลังตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐในเดือน เม.ย. ออกมาต่ำกว่าคาดมาก โดยมีแนวต้านอยู่ที่ 1380 และ 1385 จุด ตามลำดับ ส่วนแนวรับอยู่ที่ 1363 และ 1355 จุด ตามลำดับ
ประเด็นสำคัญ
• สหรัฐรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร เม.ย. เพิ่มขึ้น 1.75 แสนตำแหน่ง ต่ำกว่าตลาดคาด ทำให้ตลาดคลายกังวลว่า Fed จะตรึง ดบ. ที่ระดับสูงเป็นเวลานาน และเพิ่มการคาดการณ์ว่า Fed จะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงครั้งแรกในเดือน ก.ย.
• ผู้กำหนดนโยบายของ ECB ระบุข้อมูลเงินเฟ้อและการขยายตัวทาง ศก. ล่าสุดทำให้คาดว่าเงินเฟ้อจะลงสู่เป้าหมาย 2% ภายในกลางปีหน้า
• หน่วยงานตรวจคนเข้าเมืองข้ามพรมแดนของจีนระบุการเดินทางขาเข้า-ขาออก ช่วงหยุดยาววันแรงงาน (1-5 พ.ค.) ปีนี้เกือบ 8.47 ล้านครั้ง เพิ่มขึ้น 35.1%YoY ซึ่งส่งสัญญาณว่าการบริโภคเริ่มฟื้นตัวแล้ว
• ราคาน้ำมันได้รับแรงหนุนจากซาอุดีอาระเบียประกาศขึ้นราคาน้ำมันดิบที่จำหน่ายให้กับลูกค้าในเอเชีย ภูมิภาคยุโรปตะวันตกเฉียงเหนือ และเมดิเตอร์เรเนียน โดยจะมีผลบังคับใช้ในเดือน มิ.ย.
• ก. คลังระบุการดำเนินโครงการดิจิทัลวอลเล็ตอาจทำให้ภาระ ดบ. จ่ายต่อรายได้ของรัฐบาลมีโอกาสปรับสูงขึ้นจากปัจจุบันอยู่ที่ 8% เพิ่มเป็นปีหน้า 11% ซึ่งอาจทำให้การจัดมาตรฐานของ Credit Rating Agencyปรับตัวลดลงจากระดับ A ไปอยู่ที่ BBB+
• ส.อ.ท. คาด ศก. ครึ่งปีหลังทยอยฟื้นตัวหลังปรับ ครม. ส่งสัญญาณเร่งกระตุ้น ศก. โดยใช้มาตรการการคลังเป็นหลัก แนะนำเร่งเบิกจ่ายงบเร่งด่วน พร้อมเร่งขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวเพิ่มเติม เร่งหาตลาดใหม่ๆ เพื่อการส่งออก ช่วยเหลือ SMEs
• BOI ระบุมีบริษัท AI - Data Center รายใหญ่ของโลก ขอรับส่งเสริมจาก BOI แล้ว 18 ราย เงินลงทุนรวมกว่า 8 หมื่นลบ.
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นมอง SET จะเคลื่อนไหวในกรอบ หลังขาดปัจจัยชี้นำที่ชัดเจน โดยปัจจัยในประเทศยังอยู่ระหว่างรอดูผลประกอบการ 1Q67 ของกลุ่ม Real Sector ที่กำลังทยอยประกาศภายในกลาง พ.ค. นี้ ขณะที่การประชุมของเฟดที่มีมติคงดอกเบี้ยนโยบายและส่งสัญญาณว่าเฟดจะไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งต่อไปซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 11-12 มิ.ย. เป็นไปตามตลาดคาด ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy”
ล็อกเป้าลงทุนประจำสัปดาห์
ตลาดหุ้นไทยยังขาดปัจจัยชี้นำที่ชัดเจน โดยปัจจัยหลักยังอยู่ระหว่างรอดูผลประกอบการ 1Q67 ของกลุ่ม Real Sector ที่กำลังทยอยประกาศภายในกลาง พ.ค. นี้ ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ใน 4 ธีมหลัก ดังนี้
1) หุ้นธีม Earning Play สำหรับเก็งกำไรผลประกอบการ 1Q67 ซึ่งคาดจะเติบโตดี YoY และจะประกาศในช่วงสองสัปดาห์หน้า อีกทั้งมองราคาหุ้นยังไม่ได้ปรับตัวขึ้นไม่มาก เลือก AOT ERW MINT KCE OSP ขณะที่แนะนำระมัดระวังการลงทุนในหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า ซึ่งมีความเสี่ยงค่าเงินบาทอ่อนจะกดดันผลประกอบการ 1Q67 (GPSC เป็นหุ้นโรงไฟฟ้าที่ประกาศตัวแรก 8 พ.ค. ซึ่งตลาดคาดกำไรหดตัว YoY)
2) หุ้นธีม Defensive Stock สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ ซึ่งผลประกอบการไม่ผันผวนตามเศรษฐกิจ เลือก หุ้นการแพทย์ (BDMS) หุ้นขนส่งทางบก (BEM) หุ้นค้าปลีก (CPALL CPAXT) หุ้นสื่อสาร (ADVANC) หุ้นอสังหาปันผลดี (AP)
3) สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงและต้องการเก็งกำไรในหุ้น Mid- Small Cap. ซึ่งคาดมีโมเมนตัมกำไร 1Q-2Q67 เติบโตดีทั้ง YoY และ QoQ เลือก ONEE SNNP THRE TIDLOR
4) สถานการณ์ในตะวันออกกลางเริ่มเบาบางลง และรายงานสต๊อกน้ำมันที่เพิ่มมากกว่าคาดในสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งยังเป็นทิศทางตามฤดูกาล ในกรณีฐานที่เป็นสงครามเงา ราคาน้ำมันดิบ Bent จะอยู่ในระดับที่ 90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ดังนั้นการมีหุ้นน้ำมันสำหรับป้องกันความเสี่ยง (Hedging) จากกรณีความไม่สงบในตะวันออกกลาง สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง เลือกหุ้นน้ำมันขั้นต้นอย่าง PTTEP
DAILY TOP PICKS
TRUE มองมี story เกี่ยวกับผลประกอบการที่มีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง โดยผลการดำเนินงาน 1Q67 มีกำไรปกติเป็นบวกไตรมาสแรก 802 ลบ. หลังจากควบรวมกิจการและเร็วกว่าที่คาดไว้ ขณะที่ 2Q67 คาดกำไรปกติจะเติบโตต่อ QoQ และ YoY ซึ่งคาดจะผลักดันให้ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
OR 1Q67 คาดกำไรปรับขึ้นแรง QoQ สู่ระดับ 3.5 พันลบ. จากกำไรขั้นต้น/ลิตรระดับสูงของกลุ่มธุรกิจ Mobility และไม่มีขาดทุนจาก Fx ส่วน 2Q67 คาดกำไรดีขึ้นต่อเนื่องจากช่วงเทศกาลวันหยุด ปี 2567 คาดกำไรสุทธิจะเติบโต 16%YoY สู่ 1.33 หมื่นลบ. อีกทั้งซื้อขายที่ PER 67F ที่ 16 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 3 ปีที่ 27 เท่า
ข่าวเด่น