SET สร้างสัญญาณลบทางเทคนิค หลังหลุดแนวรับบริเวณ 1377 จุด ลงมา ด้านระยะสั้นมีโอกาสรีบาวด์ได้บ้าง แต่มองการฟื้นตัวถูกจำกัดที่กรอบบนบริเวณแนวต้าน 1380 และ 1385 จุด ตามลำดับ ด้านกรอบล่างมีจุดติดตามบริเวณแนวรับ 1365 จุด หากต่ำกว่า จะเป็นสัญญาณลบต่อ และมีแนวรับถัดไปที่ 1360 จุด
ประเด็นสำคัญ
• รายงานการประชุม Fed 30 เม.ย.-1 พ.ค. บ่งชี้ว่า คกก. Fed กังวลเงินเฟ้อและไม่มั่นใจว่าเงินเฟ้อจะชะลอตัวลงมากพอที่จะทำให้ Fed ลด ดบ. ได้หรือไม่ ทำให้ตลาดวิตก Fed อาจตรึง ดบ. ที่ระดับสูงเป็นเวลานาน
• EIA รายงานสต็อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์ของสหรัฐเพิ่มขึ้น 1.8 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่ตลาดคาดว่าจะลดลง 2.5 ล้านบาร์เรล
• CPI ของอังกฤษ เม.ย. +2.3%YoY ชะลอลงจาก +3.2%YoY ใน มี.ค. แต่สูงกว่าคาด ทำให้ตลาดมองลดโอกาสที่ BoE จะลด ดบ. ลงใน มิ.ย.
• จีนเตรียมปรับขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซินขนาดใหญ่เป็น 25% ในขณะที่จีนเผชิญกับภาษีนำเข้ารถยนต์ของสหรัฐที่สูงขึ้นอย่างมาก และอาจถูกเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มขึ้นใน EU
• NVIDIA รายงานกำไร 1Q68 (สิ้นสุด เม.ย. 67) ที่ 1.49 หมื่นล้านเหรียญ ดีกว่าตลาดคาด พร้อมประกาศแผนแตกหุ้นบริษัท 10 ต่อ 1 มีผลหลังวันที่ 7 มิ.ย. และเพิ่มการจ่ายเงินปันผล
• ครม. อนุมัติออก พ.ร.บ.รายจ่ายเพิ่มเติมปี 67 ใช้โครงการดิจิทัลวอลเล็ต ด้าน ก. คลัง เสนอ ครม. 28 พ.ค. ทำดิจิทัลวอลเล็ตกระตุ้น ศก.
• นายกฯ นัดประชุม ครม. ศก. นัดแรก 27 พ.ค. หารือแนวทางในการกระตุ้น ศก. หลังตัวเลข GDP ไทย 1Q67 ขยายตัวเพียง 1.5%YoY ซึ่งอยู่ในระดับชะลอตัว โดย ก. คลังมอง ศก. ควรได้รับการกระตุ้นต่อเนื่อง
• FETCO-สมาคม บลจ. ระบุทุกฝ่ายเห็นชอบแพ็กเกจ Tax Saving Fund ใช้เกณฑ์ใกล้เคียง LTF ลงทุนหุ้นไทย 100% เตรียมหารือ รมว.คลัง พิจารณาใน 1-2 สัปดาห์
• วันนี้ติดตามศาล รธน. พิจารณารับหรือไม่รับคำร้องของ 40 สว. ยื่นให้วินิจฉัยตรวจสอบคุณสมบัตินายกฯ
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นมอง SET ยังแกว่งตัวเคลื่อนไหวในกรอบ หลังขาดปัจจัยชี้นำและสิ้นสุดเทศกาลประกาศผลประกอบการ 1Q67 ของ บจ. แล้ว ขณะที่ประเด็นในประเทศลุ้นอาจมีแรงเก็งกำไรในหุ้นขนาดใหญ่จากความคาดหวังข่าวความคืบหน้าการจัดตั้งกองทุน LTF นอกจากนั้นตัวเลขเศรษฐกิจในต่างประเทศเองก็มีแนวโน้มชะลอตัวลง ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy”
ล็อกเป้าลงทุนประจำสัปดาห์
ตลาดหุ้นไทยจะแกว่งตัวในกรอบ หลังขาดปัจจัยชี้นำและสิ้นสุดเทศกาลประกาศงบ 1Q67 โดยสัปดาห์นี้รอลุ้นข่าวความคืบหน้าการฟื้น LTF กลับมาอีกครั้ง ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ใน 3 ธีมหลัก ดังนี้
1) หุ้น Big Cap. ซึ่งกำไร 1Q67 ออกมาดีกว่าตลาดคาด และ 2Q67 มองกำไรจะยังสามารถเติบโตทั้ง YoY และ QoQ อีกทั้ง Valuation ยังไม่แพง เลือก MINT ADVANC TU BEM CPF
2) สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงและต้องการเก็งกำไรหุ้น Mid-Small Cap. ซึ่งคาดกำไร 2Q67 จะมีแนวโน้มเติบโตดีทั้ง YoY และ QoQ เลือก KCE BTG OSP HMPRO TIDLOR
3) สถานการณ์ในตะวันออกกลางเริ่มเบาบางลง ทำให้ราคาน้ำมันดิบ Bent ปรับตัวลดลงมาอยู่ในกรอบล่างของช่วง 80-90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งมองยังสามารถมีหุ้นน้ำมันสำหรับป้องกันความเสี่ยง (Hedging) ได้ ดังนั้นนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง จึงยังคงเลือกหุ้นน้ำมันขั้นต้นอย่าง PTTEP
DAILY TOP PICKS
KCE มองกำไรจะเติบโตแข็งแกร่งสุดในกลุ่ม ปี 2567 คาดกำไรปกติโตเด่น 44.7%YoY โดย 2Q67 คาดกำไรเติบโตทั้ง YoY และ QoQ หนุนจากคำสั่งซื้อค้างส่งของ special grade PCB (HDI) ที่มีมาร์จิ้นสูง ส่วน 3Q67 เข้าสู่ High Season และ 4Q67 คาดอัตรากำไรขั้นต้นทำจุดสูงสุดจากมาตรการลดต้นทุน
CPALL มองราคาหุ้นยัง Undervalue ปัจจุบันซื้อขาย PER 67F ระดับ 23 เท่า (-2S.D. ค่าเฉลี่ย PER 10 ปี) สวนทางกำไรที่แข็งแกร่ง โดยปี 2567 คาดมีกำไรปกติ 2.3 หมื่นลบ. โต 28%YoY จากยอดขายและมาร์จิ้นที่ดีขึ้น อีกทั้งมีดอกเบี้ยจ่ายลดลง ซึ่งประมาณการยังไม่รวม upside จากโครงการดิจิทัลวอลเล็ต
ข่าวเด่น