ออมสิน ผนึก BAM ร่วมทุน 1,000 ล้านบาท ตั้ง บริษัท บริหารสินทรัพย์อารีย์ จำกัด ประเดิม รับซื้อและโอนหนี้เสียลูกหนี้ออมสิน ไตรมาส 3 ปี 67 เผยลูกหนี้รายย่อย SMEs และหนี้บัตรเครดิต ได้รับความช่วยเหลือกว่า 500,000 บัญชี มูลหนี้เงินต้น 4.5 หมื่นล้านบาท
วันนี้ (29 พฤษภาคม 2567) ณ ธนาคารออมสิน สำนักงานใหญ่ นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ และนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ร่วมเป็นประธาน และสักขีพยานในพิธีลงนามการร่วมทุนจัดตั้งบริษัท บริหารสินทรัพย์อารีย์ จำกัด หรือ ARI-AMC เพื่อแก้ปัญหาหนี้ทั้งระบบของรัฐบาล ระหว่างธนาคารออมสิน และบริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM โดยมี นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน และนายบัณฑิต อนันตมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ลงนามการร่วมทุนดังกล่าว พร้อมด้วยนายธีรัชย์ อัตนวานิช ประธานกรรมการธนาคารออมสิน และนางทองอุไร ลิ้มปิติ ประธานกรรมการ บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ร่วมด้วย
นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า จากปัญหาหนี้ครัวเรือนในประเทศ เป็นปัญหาเรื้อรังที่ส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยมาเป็นเวลานาน โดยเฉพาะหลังเกิดวิกฤตโควิด-19 ผู้ประกอบการรายย่อย SMEs และประชาชนจำนวนมาก ขาดสภาพคล่องไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามปกติ จนกลายเป็นหนี้เสีย (NPLs) รัฐบาลภายใต้การนำของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี มีนโยบายช่วยเหลือประชาชนลดภาระหนี้และประกาศเป็นนโยบายแก้ไขหนี้ทั้งระบบ โดยมอบหมายให้ธนาคารออมสินจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ในรูปแบบกิจการร่วมทุน (Joint Venture Asset Management Company : JV AMC) เพื่อแก้ไขปัญหาสินทรัพย์ด้อยคุณภาพของลูกหนี้สถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) โดยเพิ่มความคล่องตัวให้สามารถแก้ไขปัญหาให้กับลูกหนี้ได้มากขึ้น เนื่องจากสามารถโอนหนี้บางส่วนของ SFIs ไปยังบริษัทร่วมทุนที่จัดตั้งขึ้น ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการหนี้โดยเฉพาะ ธนาคารออมสินจึงได้ร่วมกับบริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM จัดตั้งบริษัท บริหารสินทรัพย์อารีย์ จำกัด หรือ ARI-AMC มีวัตถุประสงค์หลักเป็นธุรกิจเพื่อสังคม โดยมีกำไรในระดับที่เหมาะสมเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ ทั้งที่เป็น NPLs และ NPA ได้เข้ากระบวนการปรับโครงสร้างหนี้หรือไกล่เกลี่ยหนี้ มีโอกาสหลุดพ้นจากการเป็นผู้เสียประวัติทางเครดิตได้เร็วขึ้น กลับมาเป็นสถานะหนี้ผ่อนปกติหรือหนี้ปิดบัญชีจะทำให้สามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้ในอนาคต และลดการพึ่งพาหนี้นอกระบบได้ ทั้งหมดนี้จะส่งผลดีต่อภาวะเศรษฐกิจในภาพรวมให้มีเสถียรภาพและช่วยลดปัญหาหนี้ครัวเรือนให้กับประเทศได้อย่างยั่งยืนต่อไป
ทั้งนี้ บริษัท บริหารสินทรัพย์อารีย์ จำกัด จัดตั้งขึ้นด้วยทุนจดทะเบียน 1,000 ล้านบาท มีสัดส่วนการร่วมทุนเท่ากัน ที่ร้อยละ 50 และมีระยะเวลาดำเนินการไม่เกินกว่า 15 ปี นับตั้งแต่วันที่เริ่มดำเนินการ โดยดำเนินธุรกิจบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ ในระยะแรกจะรับซื้อและรับโอนหนี้จากธนาคารออมสินเพียงแห่งเดียวก่อน เป็นการรับซื้อหนี้สินเชื่อทั่วไปทั้งที่มีหลักประกันและไม่มีหลักประกัน เป็นกลุ่มลูกหนี้สินเชื่อรายย่อย SMEs รวมถึงหนี้บัตรเครดิต บัตรกดเงินสด ที่มีสถานะ NPLs หนี้สูญ รวมถึง NPA ที่มียอดหนี้ไม่เกิน 20 ล้านบาท ครอบคลุมลูกหนี้ที่ยังไม่ดำเนินคดี และดำเนินคดีแล้ว ที่ยังมีสิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย ทั้งนี้ บริษัทจะมีการรับซื้อหนี้ในราคายุติธรรม และคำนึงถึงประโยชน์ที่ลูกหนี้จะได้รับสอดคล้องจากความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้แต่ละราย ซึ่งจะมีความยืดหยุ่นและหลากหลาย อาทิ การปรับลดเงินต้น ปรับลดอัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมต่างๆ หรือการตัดหนี้บางส่วนให้กับลูกหนี้ เป็นต้น โดยคาดว่าในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2567 จะสามารถเริ่มรับซื้อและรับโอนหนี้จากธนาคารออมสิน และจะมีลูกหนี้ได้รับความช่วยเหลือจำนวนกว่า 500,000 บัญชี หรือคิดเป็นมูลหนี้เงินต้นกว่า 45,000 ล้านบาท และในอนาคตจะขยายการดำเนินการให้ครอบคลุมการรับซื้อหนี้ประเภทอื่น รวมถึงหนี้ของ SFIs อื่น ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง
นายวิทัยกล่าวว่า วันนี้เป็นการลงนาม MOU คาดว่าภายใน 1 สัปดาห์จากนี้ จะสามารถจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์อารีย์ได้ และจะยื่นขอใบอนุญาต AMC จากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งอาจต้องใช้เวลาพิจารณา 1-2 เดือนจึงจะได้รับใบอนุญาต ทั้งนี้ คาดว่าจะเริ่มโอนหนี้ล็อตแรก 1.4 แสนราย มูลหนี้ราว 1 หมื่นล้านบาท ได้ประมาณสิ้น ก.ค.67 โดยจะโอนหนี้ 3 ส่วน ทั้งหนี้ไม่มีหลักประกันรายย่อย,หนี้ SME และหนี้บัตรเครดิต
“ความร่วมมือกันของธนาคารออมสิน และ BAM ในครั้งนี้ ถือเป็น Social project มีวัตถุประสงค์สำคัญ ต้องการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยให้หลุดจากการเป็น NPL ได้เร็วที่สุด กลับเข้ามาสู่ระบบ และมีประวัติที่ดี พร้อมที่จะขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินได้ตามปกติ คาดว่าจะสามารถช่วยเหลือลูกหนี้ที่เป็นหนี้เสียให้สามารถกลับสู่ระบบได้อย่างน้อย 70% อย่างไรก็ตาม BAM เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาด ดังนั้นต้องไม่ขาดทุน และมีกำไรที่เหมาะสม ซึ่งเป็นข้อตกลงกัน แต่การร่วมมือครั้งนี้เป็นการปรับโครงสร้างหนี้ที่ผ่อนผัน และผ่อนปรนได้มากกว่าในการเรียกเก็บหนี้ของ AMC ปกติ เรามี target return เป้าหมายอยู่แล้ว แต่เป็นความลับทางธุรกิจ เป็นตัวเลขที่ BAM ได้กำไรสมเหตุสมผล แล้วที่เหลือ จะไปช่วยคนให้สามารถปลดหนี้ได้เร็วขึ้น ลดหนี้ได้มากขึ้น”นายวิทัยกล่าว
นายวิทัยกล่าวต่อไปว่า การโอนหนี้เข้าไปยัง ARI-AMC จะไม่ได้ทำให้ยอด NPL ของธนาคารออมสินลดลงไปมากนัก เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นลูกหนี้รายย่อย อีกทั้งไม่ได้เป็นวัตถุประสงค์หลักว่าทำเพื่อให้ NPL ของธนาคารลดลง เพราะถ้าจะไรท์ออฟออกจากบัญชี ก็ลดได้เหมือนกัน ไม่ต้องใช้วิธีการจัดตั้ง AMC ก็ได้
สำหรับทุนจดทะเบียน 1,000 ล้านบาท เชื่อว่าจะเพียงพอสำหรับการบริหารจัดการและช่วยเหลือลูกหนี้ 5 แสนบัญชี ที่เป็นมูลหนี้เงินต้นประมาณ 45,000 ล้านบาทได้ แต่หากในอนาคตมีความจำเป็นจะต้องเพิ่มทุน ก็มีความพร้อม เพราะทั้งธนาคารออมสิน และ BAM เป็นสถาบันการเงินขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพพร้อมที่จะเพิ่มทุนได้
ด้าน นายบัณฑิต อนันตมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM กล่าวว่า บริษัทร่วมทุนดังกล่าว จัดตั้งขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้ภาคประชาชนที่กลายเป็นหนี้เสีย ซึ่งได้รับผลกระทบมาจากสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา ซึ่ง BAM จะให้การสนับสนุนบริษัทร่วมทุน โดยให้บริการเกี่ยวกับการรับบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่บริษัทร่วมทุนจะรับซื้อ หรือรับโอนจากธนาคารออมสิน ตลอดจนการให้บริการระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่จำเป็นต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัทร่วมทุน
ทั้งนี้ BAM และธนาคารออมสิน มีเจตนารมณ์ที่แน่วแน่ในการสานต่อนโยบายสำคัญของรัฐบาลที่จะช่วยแก้ไขปัญหาหนี้เสียในระบบสถาบันการเงิน โดยจะร่วมกันวางแผนบริหารกิจการร่วมทุน วางแนวทางในการดำเนินธุรกิจในรูปแบบต่างๆ อย่างดีที่สุด มุ่งมั่นช่วยเหลือลูกหนี้ที่สุจริตให้ผ่านพ้นปัญหาหนี้สินไปได้อย่างราบรื่น ซึ่งจะส่งผลให้หนี้เสียได้รับการแก้ไขให้กลายเป็นหนี้ดีกลับคืนสู่ระบบเศรษฐกิจปกติต่อไป และทำให้ BAM ดำรงบทบาทหลักในการพลิกฟื้นสินทรัพย์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมไทยได้อย่างยั่งยืนตามวิสัยทัศน์ขององค์กร
“BAM เชื่อมั่นว่าเรามีความพร้อมทั้งในด้านประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญของบุคลากร ตลอดจนระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ การให้บริการลูกค้าในทุกช่องทางอย่างครบวงจร และการมีเครือข่ายสาขาทั่วประเทศ จะช่วยให้ความร่วมมือในการผลักดันการดำเนินงานของบริษัทร่วมทุนลุล่วงไปได้ด้วยดี อีกทั้งทำให้บริษัท บริหารสินทรัพย์อารีย์ จำกัด ที่ก่อตั้งขึ้น สามารถตอบโจทย์การเป็นธุรกิจเพื่อสังคม โดยที่ยังสามารถบริหารจัดการให้ได้รับผลตอบแทนที่ดี ช่วยแก้ไขหนี้ภาคครัวเรือน รวมถึงสามารถจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่ให้รองรับการดำเนินงานตามพันธกิจและนโยบายของภาครัฐได้อย่างมีประสิทธิภาพ”นายบัณฑิตกล่าว
นายบัณฑิต กล่าวทิ้งท้ายว่า ผลการดำเนินงานตลอดระยะเวลา 25 ปีที่ผ่านมา BAM ได้ดำรงบทบาทหลักในการแก้ไขปัญหาหนี้ด้อยคุณภาพในระบบสถาบันการเงิน และบริหารจัดการทรัพย์สินรอการขายจนสามารถแก้ไขปัญหาหนี้ให้ได้ข้อยุติมากกว่า 155,000 ราย คิดเป็นภาระหนี้กว่า 480,000 ล้านบาท และยังสามารถจำหน่ายทรัพย์สินรอการขายไปกว่า 52,000 รายการ คิดเป็นราคาประเมินกว่า 122,000 ล้านบาท
ข่าวเด่น