SET แม้ได้ sentiment บวก หลังตัวเลขเปิดรับสมัครงานของสหรัฐต่ำคาด และต่ำสุดรอบ 3 ปี สร้างความหวังการลดดอกเบี้ยเฟด อย่างไรก็ตาม สัญญาณเทคนิคที่เป็นลบ และทิศทาง fund flow ไหลออก ทำให้กรอบบนยังถูกจำกัดที่แนวต้าน 1345-1350 จุด และมีความเสี่ยงหลุดจุดต่ำเดิม 1330 จุด โดยมีแนวรับถัดไปที่ 1320 จุด
ประเด็นสำคัญ
• ตัวเลขการเปิดรับสมัครงาน เม.ย. ของสหรัฐลดลงต่ำสุดในรอบกว่า 3 ปี หรือนับตั้งแต่ ก.พ. 64 และปรับตัวลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 ทำให้ตลาดคาดหวัง Fed จะพิจารณาปรับลด ดบ. ในปีนี้
• วานนี้ราคาทองแดงลดลงต่ำกว่า 1 หมื่นเหรียญ/ตัน หลังสินค้าคงคลังทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อีกทั้งข้อมูลตำแหน่งงานว่างในสหรัฐที่แย่กว่าคาดและความกังวล ศก. โลกถดถอยส่งผลกระทบต่ออุปสงค์
• วานนี้สัญญาข้าวโพดและถั่วเหลืองปรับตัวลง จากอุปสงค์ที่อ่อนแอ และตลาดคาดว่าการเพาะปลูกและสภาพผลผลิตข้าวโพดจะเพิ่มขึ้น
• สรท. คงคาดการส่งออกไทยปี 67 ขยายตัว 1-2% แม้การส่งออก เม.ย. จะพลิกโต 6.8% หนุนให้ 4M67 การส่งออกขยายตัวได้ 1.4% โดยมอง 2H67 ยังมีปัจจัยเฝ้าระวังสำคัญ ได้แก่ ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะ จีน-สหรัฐฯ และปัญหาค่าระวางเรือที่กลับมาสูงขึ้น
• ครม. มีมติเห็นชอบวงเงินงบฯ เพิ่มเติมปี 2567 ที่ 1.22 แสนลบ. สำหรับเป็นงบกลาง คชจ. กระตุ้น ศก. คาดร่างฯ จะเข้าสู่สภาฯ ช่วง ก.ค.-ส.ค. นอกจากนี้ยังมีมติเห็นชอบมาตรการภาษีสนับสนุนท่องเที่ยวเมืองรองช่วง Low Season พ.ค. - พ.ย. นี้ คาดส่งให้กฤษฏีกาพิจารณาเร่งด่วน
• ThaiBMA ระบุ 5M67 ยอดออกหุ้นกู้ยังลดลง 35% อยู่ที่ 3.61 แสนลบ. จากปีก่อน 5 แสนลบ. จาก ดบ. อยู่ในระดับสูง ด้านบริษัทเอกชนหันไปหาช่องทางต้นทุนต่ำกว่า ทั้งตั๋วแลกเงินระยะสั้น-เงินกู้ ธพ. จับตา 2H67 หุ้นกู้ครบกำหนดราว 5.4 แสนลบ.
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นมอง SET ยังเปราะบางและแกว่งตัวในกรอบ โดยในประเทศยังขาดปัจจัยหนุนใหม่และมีปัจจัยการเมืองกดดันบรรยากาศลงทุน ทำให้ SET ยัง Underperform ตลาดหุ้นในภูมิภาค อย่างไรก็ดี ยังคาดหวังแรงหนุนดัชนีจากผลประกอบการของ บจ. ไทยที่จะเติบโตดีขึ้นตั้งแต่ 2Q67 และปัจจัยต่างประเทศสัปดาห์นี้จะเป็นบวก อาทิ ดัชนี PMI ภาคการผลิต พ.ค. ของจีนและสหรัฐคาดจะปรับตัวดีขึ้น หลังมีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง และการประชุมนโยบายการเงินของ ECB ในวันที่ 6 มิ.ย. จะเริ่มมีการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายครั้งแรก ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy”
ล็อกเป้าลงทุนประจำสัปดาห์
ตลาดหุ้นไทยยังเปราะบาง จากความเสี่ยงทางการเมืองในประเทศเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดีคาดหวังผลประกอบการ 2Q67 ของ บจ. ไทยที่จะเติบโตดีขึ้นและปัจจัยต่างประเทศสัปดาห์นี้จะเป็นบวกช่วยพยุงดัชนีได้ กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ใน 4 ธีม ดังนี้
1) หุ้นที่คาด 2Q67 กำไรจะเติบโตทั้ง YoY และ QoQ อีกทั้ง Valuation ยังไม่แพง นอกจากนี้ยังเป็นหุ้นที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวชนะตลาดได้ YTD เลือก ICT (ADVANC) TOURISM (MINT) และ FOOD (TU BTG OSP)
2) หุ้นที่คาดได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของการผลิต (โดยเฉพาะจีน) และผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ขณะที่ราคาหุ้นยังไม่ได้สะท้อนปัจจัยบวกดังกล่าว เลือก KCE SCGP PTTGC
3) สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้และสนใจหุ้น Small Cap. ซึ่ง 2Q67 คาดกำไรจะเติบโตได้ดีทั้ง YoY และ QoQ และ Valuation ไม่แพง อีกทั้งยังมีศักยภาพจ่ายปันผลสม่ำเสมอ เลือก AMATA AU KLINIQ TPAC TNP
4) สถานการณ์ในตะวันออกกลางเริ่มเบาบางลง ทำให้ราคาน้ำมันดิบ Bent ปรับตัวลดลงมาอยู่ในกรอบล่างของช่วง 80-90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งมองยังสามารถมีหุ้นน้ำมันสำหรับป้องกันความเสี่ยง (Hedging) ได้ ดังนั้นนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง จึงยังคงเลือกหุ้นน้ำมันขั้นต้นอย่าง PTTEP
DAILY TOP PICKS
KCE ระยะสั้นมองได้ Sentiment บวกจากราคาทองแดงปรับลง ขณะที่ปี 2567 คาดกำไรปกติพลิกโต 44.7%YoY โดย 2Q67 คาดกำไรโต YoY และ QoQ จากคำสั่งซื้อค้างส่งที่แข็งแกร่งของ special grade PCB (HDI) ที่มีมาร์จิ้นสูง ส่วน 2H67 มองเข้าสู่ High Season และมาร์จิ้นดีขึ้นจากมาตรการลดต้นทุน
CPALL มองราคาหุ้น Undervalue ปัจจุบันซื้อขายบน PER 67F ระดับ 23 เท่า (-2S.D. ค่าเฉลี่ย PER 10 ปี) สวนทางกำไรที่แข็งแกร่ง โดยปี 2567 คาดมีกำไรปกติ 2.3 หมื่นลบ. โต 28%YoY จากยอดขายและมาร์จิ้นที่ดีขึ้น อีกทั้งมีดอกเบี้ยจ่ายลดลง ซึ่งประมาณการยังไม่รวม upside จากโครงการดิจิทัลวอลเล็ต
ข่าวเด่น