SET เผชิญปัจจัยกดดันด้านการเมือง และวันนี้มีประเด็นสำคัญทางการเมืองที่ต้องติดตาม รวมถึงทิศทาง fund flow ยังไหลออก ทำให้การฟื้นตัวยังจำกัด โดยมีแนวต้านที่ 1305 และ 1310 จุด ตามลำดับ ด้านสัญญาณเทคนิคยังอ่อนแรง ทำให้มีแนวโน้มปรับลงได้ต่อ โดยมีแนวรับถัดไปที่ 1290 และ 1280 จุด ตามลำดับ
ประเด็นสำคัญ
• นีล แคชแครี ปธ. Fed สาขามินนีแอโพลิส และแพทริก ฮาร์เกอร์ ปธ. Fed สาขาฟิลาเดลเฟีย ต่างส่งสัญญาณว่า Fed จะลด ดบ. 1 ครั้งในปีนี้
• ปธ. ECB ระบุกำลังจับตาพัฒนาการในตลาดการเงิน หลังตลาดหุ้นฝรั่งเศสทรุดตัวลงในสัปดาห์ที่แล้ว ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับชัยชนะในการเลือกตั้งของพรรคขวาจัด
• ทางการจีนเริ่มสอบสวนการทุ่มตลาดสำหรับเนื้อหมูและผลิตภัณฑ์พลอยได้จากหมูที่นำเข้าจาก EU เป็นการตอบโต้ที่ EU ประกาศขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากจีนเมื่อสัปดาห์ก่อน
• นายกฯ สั่งการพาณิชย์ทบทวนรายการสินค้าที่ไม่สามารถเข้าร่วมโครงการดิจิทัลวอลเล็ตได้ โดยเฉพาะสินค้านำเข้า เช่น สมาร์ทโฟน และเครื่องใช้ไฟฟ้านำเข้า และนำข้อสรุปมาเสนออีกครั้งในสัปดาห์หน้า
• รมช.คลัง ระบุตลาดหุ้นผันผวนระยะสั้น ปัจจัยหลักมาจากสถานการณ์การเมืองซึ่งกระทบความเชื่อมั่น ขณะที่ ก. คลังได้เตรียมมาตรการที่จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาดหุ้นไทย ซึ่งคาดจะมีข้อสรุปในเร็วๆนี้ ทั้งเรื่องจัดตั้งกองทุน LTF และกองทุน ThaiESG
• ตลท. ออกมาตรการเพิ่ม Uptick Rule รายหลักทรัพย์ที่จะมาใช้แทน Zero-plus Tick โดยจะเริ่มใช้วันที่ 1 ก.ค. 67 ตามแผนงานระบุไว้ช่วงปลาย 2Q67 ซึ่งทาง ตลท. จะแถลงทำความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการดังกล่าวก่อนใช้จริงในวันนี้
• บ่ายวันนี้ ตลท. เตรียมแถลงความคืบหน้าของการดำเนินการมาตรการยกระดับความเชื่อมั่น หลัง Program Trading ขายหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง 16 วันทำการ มูลค่าเกือบ 3 หมื่นลบ. และทำ Short selling รวมเกือบ 1 แสนลบ. หลังจากที่มาตรการใหม่ยังไม่เริ่มใช้
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นมอง SET ยังผันผวนและเปราะบาง จากความกังวลความเสี่ยงเสถียรภาพทางการเมืองในประเทศ โดยในวันที่ 18 มิ.ย. นี้จะมีการพิจารณา 4 คดีทางการเมืองสำคัญ ได้แก่ คดียุบพรรคก้าวไกล, คดีถอดถอนนายกฯ เศรษฐา, คดีอดีตนายกฯ ทักษิณ และคดี สว. จึงทำให้ SET ยังมีแนวโน้ม Underperform ตลาดหุ้นในภูมิภาค ท่ามกลางตัวเลขยอดการผลิตรถยนต์และการส่งออกของไทยที่คาดจะยังอ่อนแอ ขณะที่การผลิตภาคอุตสาหกรรมของจีนและสหรัฐคาดจะมีการฟื้นตัวต่อเนื่อง ส่วน BoE คาดจะมีมติคงดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 5.25% แต่จะส่งสัญญาณผ่อนคลายนโยบายการเงินใน 3Q67 ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy”
ล็อกเป้าลงทุนประจำสัปดาห์
มองตลาดหุ้นไทยยังผันผวนและเปราะบาง จากกังวลความเสี่ยงทางการเมืองในประเทศ ทำให้ SET ยังมีโอกาส Underperform ตลาดหุ้นในภูมิภาค กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ใน 4 ธีม ดังนี้
1) หุ้น Global Play ที่คาดผลประกอบการมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องและได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกมากกว่าที่จะขึ้นกับการเติบโตของเศรษฐกิจภายในประเทศที่ไม่แน่นอน เลือก KCE SCGP PTTGC
2) หุ้นที่คาด 2Q67 กำไรจะเติบโตทั้ง YoY และ QoQ อีกทั้ง Valuation ยังไม่แพง นอกจากนี้ยังเป็นหุ้นที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวชนะตลาดได้ YTD เลือก ICT (ADVANC) TOURISM (MINT) และ FOOD (TU BTG OSP)
3) หุ้นที่คาดได้อานิสงส์บวกจากการเข้าสู่บรรยากาศแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป (ยูโร 2024) ในช่วงวันที่ 14 มิ.ย.-14 ก.ค. 67 เลือก ADVANC TRUE CPALL MINT TU
4) สถานการณ์ในตะวันออกกลางเริ่มเบาบางลง ทำให้ราคาน้ำมันดิบ Bent ปรับตัวลดลงมาอยู่ในกรอบล่างของช่วง 80-90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งมองยังสามารถมีหุ้นน้ำมันสำหรับป้องกันความเสี่ยง (Hedging) ได้ ดังนั้นนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง จึงยังคงเลือกหุ้นน้ำมันขั้นต้นอย่าง PTTEP
DAILY TOP PICKS
KCE มองเป็นหุ้น Global Play ที่ผลประกอบการฟื้นตัวตาม ศก. โลก คาดปี 2567 กำไรปกติพลิกโต 44.7%YoY โดย 2Q67 คาดกำไรโต YoY และ QoQ จากคำสั่งซื้อค้างส่งที่แข็งแกร่งของ special grade PCB (HDI) ที่มีมาร์จิ้นสูง ส่วน 2H67 มองเข้าสู่ High Season และมาร์จิ้นดีขึ้นจากมาตรการลดต้นทุน
MINT เป็น 1 ในหุ้นเด่นกลุ่มท่องเที่ยว คาดผลการดำเนินงาน 2Q67 เพิ่มขึ้นทั้ง YoY และ QoQ จากการเข้าสู่ High Season ของยุโรป อีกทั้ง Valuation ยังไม่แพง โดยซื้อขายที่ PER 67F ระดับ 23 เท่า ใกล้เคียง -1SD ของ PER เฉลี่ยในอดีต และยังไม่สะท้อนกำไรปกติปี 2567 ที่คาดเติบโต 12%YoY สู่ระดับ 8 พันลบ.
ข่าวเด่น