ประเด็นด้านการเมืองที่ยังไม่มีความชัดเจน ทำให้ยังเป็นปัจจัยกดดันดัชนี และทิศทาง fund flow ที่ไหลออก ทำให้การฟื้นตัวยังจำกัด โดยมีแนวต้านที่ 1310 และ 1320 จุด ตามลำดับ ด้านกรอบล่างอยู่ที่ 1290 จุด ใช้เป็นจุดติดตาม หากต่ำกว่าเป็นสัญญาณลบต่อ และมีแนวรับถัดไปที่ 1280 จุด
ประเด็นสำคัญ
• สหรัฐรายงานตัวเลขการผลิตภาคอุตสาหกรรมโดยรวม พ.ค. เพิ่มขึ้น0.9%MoM และ 0.4%YoY ขณะที่ยอดค้าปลีก พ.ค. เพิ่มขึ้น 0.1%MoM และ 2.3%YoY ต่ำกว่าตลาดคาด
• BOJ ระบุอาจมีการปรับขึ้น ดบ. ในเดือน ก.ค. ขึ้นอยู่กับข้อมูล ศก. ณ ขณะนั้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจที่จะผลักดันให้ต้นทุนการกู้ยืมสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจากระดับใกล้ 0% ในปัจจุบัน
• ยูเครนส่งโดรนโจมตีคลังน้ำมันของรัสเซียที่ท่าเรือ Azov ส่งผลให้เกิดเพลิงไหม้เป็นวงกว้างที่คลังน้ำมัน ขณะที่ รมว. ตปท. ของอิสราเอลเตือนว่าอิสราเอลจะตัดสินใจเปิดฉากทำสงครามกับกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอนอย่างเต็มรูปแบบในไม่ช้านี้
• ก. ท่องเที่ยวฯ ระบุ 1 ม.ค.-16 มิ.ย. 67 นทท. ต่างชาติเดินทางเข้าไทย 16.2 ล้านคน สร้างรายได้ 7.66 แสนลบ. นทท. ต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน มาเลเซีย อินเดีย รัสเซีย และเกาหลีใต้
• ผู้ว่า ธปท. แสดงความไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของรัฐบาลที่จะทบทวนกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ โดยระบุถึงความเสี่ยงว่าอาจทำให้อัตราเงินเฟ้อกลับมาขยายตัวอย่างรวดเร็ว นำไปสู่ต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้น
• ก. คลังระบุรัฐบาลพิจารณามาตรการกระตุ้นตลาดทุน ทั้งมาตรการ LTF ที่จะปรับปรุงเงื่อนไขใหม่หรือปรับ Thai ESG ให้ดึงดูด นลท. ได้มากขึ้น
• ตลท. ระบุ 1 ก.ค. 67 ใช้มาตรการ Uptick โดยให้ขายชอร์ตทุกหลักทรัพย์ได้ที่ราคาสูงกว่าราคาซื้อขายครั้งสุดท้าย จากปัจจุบันให้ขายชอร์ตได้ที่ราคาเท่ากับหรือสูงกว่า (Zero-plus Tick) แต่เลื่อนใช้ Circuit Breaker รายหุ้นไป 3Q67 และเพิ่ม Auto Halt รายหุ้นไป 1Q68
กลยุทธ์การลงทุน
ช่วงสั้นมอง SET ยังผันผวนและเปราะบาง จากกังวลความเสี่ยงการเมืองในประเทศยืดเยื้อ โดยเมื่อ 18 มิ.ย. ที่ผ่านมา ศาลรัฐธรรมนูญยังไม่ตัดสินคดีคุณสมบัตินายกรัฐมนตรีและคดียุบพรรคก้าวไกล โดยนัดพิจารณาต่อในเดือน ก.ค. จึงทำให้คาด SET จะยังมีแนวโน้ม Underperform ตลาดหุ้นในภูมิภาค ท่ามกลางตัวเลขยอดการผลิตรถยนต์และการส่งออกของไทยที่คาดจะยังอ่อนแอ ขณะที่การผลิตภาคอุตสาหกรรมของจีนและสหรัฐคาดจะมีการฟื้นตัวต่อเนื่อง ส่วน BoE คาดจะมีมติคงดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 5.25% แต่จะส่งสัญญาณผ่อนคลายนโยบายการเงินใน 3Q67 ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy”
ล็อกเป้าลงทุนประจำสัปดาห์
มองตลาดหุ้นไทยยังผันผวนและเปราะบาง จากกังวลความเสี่ยงทางการเมืองในประเทศ ทำให้ SET ยังมีโอกาส Underperform ตลาดหุ้นในภูมิภาค กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ใน 4 ธีม ดังนี้
1) หุ้น Global Play ที่คาดผลประกอบการมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องและได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกมากกว่าที่จะขึ้นกับการเติบโตของเศรษฐกิจภายในประเทศที่ไม่แน่นอน เลือก KCE SCGP PTTGC
2) หุ้นที่คาด 2Q67 กำไรจะเติบโตทั้ง YoY และ QoQ อีกทั้ง Valuation ยังไม่แพง นอกจากนี้ยังเป็นหุ้นที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวชนะตลาดได้ YTD เลือก ICT (ADVANC) TOURISM (MINT) และ FOOD (TU BTG OSP)
3) หุ้นที่คาดได้อานิสงส์บวกจากการเข้าสู่บรรยากาศแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป (ยูโร 2024) ในช่วงวันที่ 14 มิ.ย.-14 ก.ค. 67 เลือก ADVANC TRUE CPALL MINT TU
4) สถานการณ์ในตะวันออกกลางเริ่มเบาบางลง ทำให้ราคาน้ำมันดิบ Bent ปรับตัวลดลงมาอยู่ในกรอบล่างของช่วง 80-90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งมองยังสามารถมีหุ้นน้ำมันสำหรับป้องกันความเสี่ยง (Hedging) ได้ ดังนั้นนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง จึงยังคงเลือกหุ้นน้ำมันขั้นต้นอย่าง PTTEP
DAILY TOP PICKS
TOP ระยะสั้นคาดได้อานิสงส์จากราคาน้ำมันปรับขึ้น ขณะที่ค่าการกลั่นมองอยู่ที่จุดต่ำสุดแล้วและกำลังรอฟื้นตัว จากความต้องการใช้น้ำมันเบนซินและน้ำมันเครื่องบินตามฤดูกาล อีกทั้งผลการดําเนินงานธุรกิจอะโรเมติกส์คาดจะปรับตัวดีขึ้น จากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ที่แข็งแกร่ง หนุนจากอุปทานที่ตึงตัวในเอเชีย
MTC มองได้อานิสงส์จากภาวะดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มจะปรับตัวลงซึ่งจะทำให้ต้นทุนทางการเงินลดลงได้ ทั้งนี้ปี 2567 คาดกำไรจะฟื้นตัวกลับมาเติบโตได้ดีที่ 22%YoY (หลังจากลดลง 4%YoY ในปี 2566) ซึ่งเป็นผลมาจากสินเชื่อที่เติบโต 19%, credit cost ที่ลดลง และ opex ที่เติบโตชะลอตัวลงจากขยายสาขาช้าลง
ข่าวเด่น