คริปโตเคอเรนซี่
Scoop : Bitcoin ผันผวน ย่อตัวลง 64,000 ดอลลาร์ สาเหตุเกิดจากอะไร? รับมืออย่างไรดี?


 

จากช่วงขาขึ้นของ Bitcoin ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ด้วยแรงส่งจากทั้งการอนุมัติ Bitcoin Spot ETF และการมาถึงของ Bitcoin Halving ที่ทำให้ Supply ของเหรียญเกิดการฝืดเคืองมากขึ้น นักลงทุนทั้งรายเก่าและรายใหม่ได้หลั่งไหลเข้ามาลงทุนใน Bitcoin และสินทรัพย์ดิจิทัลประเภทอื่น ๆ กันอย่างคับคั่ง เนื่องจากต่างคาดการณ์กันว่า ราคาของ Bitcoin จะทะยานสูงไปแตะหลักแสนดอลลาร์สหรัฐได้ภายในปี 2023 นี้ แต่ล่าสุด หลังจาก Bitcoin ได้ทำ All Time High ที่ระดับราคาที่ 73,000 ดอลลาร์สหรัฐ ไปช่วงต้นปี กลับยังไม่สามารถผ่านแนวต้านที่ระดับราคาดังกล่าว และเกิดการย่อตัวลงตลอด จนล่าสุดราคาได้ดิ่งลงไปแตะที่ระดับ 64,000 ดอลลาร์สหรัฐ ก่อนจะเกิดการผันผวนจนไม่รู้ว่าทิศทางของราคาจะไปทางไหนต่อ
 
ในช่วงภายหลังของการไปแตะ All Time High ที่ 73,000 ดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา ราคาได้ทำการย่อตัวและสามารถพลิกฟื้นกลับมาได้อีกครั้งที่ระดับราคา 70,000 ดอลลาร์สหรัฐ จนสภาวะตลาดได้เข้าสู่ช่วงปกติ และมี Volume การซื้อกลับเข้ามาเหมือนเดิม ด้วยแรงการคาดหวังจากบทวิเคราะห์ของนักเชี่ยวชาญหลากหลายท่านว่าปี 2023 นี้เป็นช่วงของตลาดขาขึ้น หรือ Bull Run ที่ราคาของ Bitcoin มีศักยภาพที่จะไปทำจุดสูงสุดใหม่ในหลักแสนครั้งแรกของปีนี้ แต่ก็มีการพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า Bitcoin จำเป็นต้องฝ่าแนวต้านหลักที่ All Time High ปัจจุบัน (73,000 ดอลลาร์สหรัฐ) และเปลี่ยนระดับราคานี้เป็นแนวรับใหม่ให้ได้เสียก่อน ไม่เช่นนั้นจะเกิดการย่อตัวของราคาอีกครั้ง
 
ซึ่งก็เป็นไปตามกลไกที่ว่า หลังจากช่วงต้นเดือนมิ.ย. ที่ราคาได้พลิกกลับขึ้นมาที่ 70,000 ดอลลาร์สหรัฐเป็นครั้งที่ 2 สุดท้ายก็ยังไม่สามารถฝ่าด่านที่จุดสูงสุดปัจจุบันได้ และในอาทิตย์นี้ราคาก็ได้ตกลงมาที่ 64,000 ดอลลาร์เป็นที่เรียบร้อย อีกทั้งพิจารณาจากลักษณะกราฟก็เป็นไปในลักษณะ Sideway ที่มีทิศทางไปอย่างแน่ชัด จนอารมณ์ของตลาดตอนนี้มีความระวังตัวในการลงทุนกันมากขึ้น สะท้อนจากทั้งค่าดัชนี Bitcoin Fear and Greed Index ที่ลดลง และกองทุน Bitcoin ETF ก็เผชิญกับสภาวะเงินทุนไหลออกอย่างต่อเนื่องในช่วงอาทิตย์นี้
 
สาเหตุที่ราคาของ Bitcoin ได้ลดลงจนมาต่ำสุดในรอบเดือน (-5.6%) เป็นไปในลักษณะที่สอดคล้องกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศไตรมาสแรกที่ต่ำกว่าคาดการณ์ และไตรมาส 2 ที่มีทิศทางซบเซา ผนวกกับยอดค้าปลีกของสหรัฐ เพิ่มขึ้น 0.1% จากเดือนก่อนหน้า ต่ำกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ที่ 0.3% ส่วนอัตราการว่างงานก็ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 4.0% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค.2565 และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 3.9% อีกทั้งกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 272,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ค. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 182,000 ตำแหน่ง นับเป็นความเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดสภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นได้ หลังตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงโดยเฉลี่ยของแรงงาน เพิ่มขึ้น 4.1% ในเดือนพ.ค. ที่ผ่านมา
 
 
การคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยของ Fed จาก FedWatch Tool ของ CME Group
 
นอกจากนี้ สถานการณ์ดอลลาร์ที่แข็งค่า เป็นเหตุจากทางด้านของธนาคารกลางสหรัฐ หรือ Fed มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยล่าช้า อ้างอิงจาก FedWatch Tool ของ CME Group นักลงทุนส่วนใหญ่คาดว่าในการประชุมเดือน ก.ค. ที่จะถึงนี้ Fed จะยังตรึงอัตราดอกเบี้ยเดิมไว้ที่ระดับ 5.25-5.50% อีกทั้งจากรายงานคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) ระบุว่า Fed ส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% เพียง 1 ครั้งในปี 2567 นี้ (จากเดิมที่ส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในการประชุมเดือนมี.ค.)
 
ฉะนั้นแล้วในช่วงที่ Bitcoin ยังคงไม่เลือกทาง อาจจะต้องระมัดระวังการเข้าซื้อในกรณีที่ใช้วิธีเก็งกำไร โดยเฉพาะการลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า หรือฟิวเจอร์ส (Futures) เอาไว้เสียก่อน เนื่องจากเสี่ยงต่อการปรับฐานราคาลงมาหลังจากฝ่าด่านแนวต้านไปไม่ได้ และอาจพิจารณาเข้าซื้ออีกครั้งหลังผู้ถือครอง Bitcoin ระยะยาวเคลื่อนไหวอย่างแน่ชัดว่ากำลังจะทำอะไร จากที่ช่วงนี้มีการเคลื่อนไหวของผู้ถือครอง Bitcoin รายใหญ่ทำการโอนไปยังเว็บเทรดที่สามารถนำไปสู่การเทขายในตลาดเปิดได้

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 23 มิ.ย. 2567 เวลา : 19:34:20
04-12-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ December 4, 2024, 3:53 pm